สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงประเด็นที่นักลงทุนจับตากันอย่างใกล้ชิด อย่างกรณีของ Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก จนกลายเป็นประเด็นที่ต่างเชื้อเชิญให้ไปลงทุนในบิทคอยน์ ถึงขั้นขายสินทรัพย์เดิมเพื่อไปลงทุนใน Bitcoin กันเลยทีเดียว แต่ก็ไม่วายที่มีบางท่านยังคงกังวลกับคำถามที่ว่า bitcoin คือ กลลวงหรือไม่? จะลงทุนกับ Bitcoin อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังครับ
บิทคอยน์ ( Bitcoin) คือ สกุลเงินตราดิจิทัลประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการถือครอง แลกเปลี่ยน และลงทุนมากที่สุด ซึ่งจริงๆ แล้วสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ยังมีอีกมาก ซึ่งถ้าใครได้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดจะพบความร้อนแรงของสกุลเงิน Bitcoin ที่ทำสถิตินิวไฮท์ได้ในช่วงที่ผ่านมา
โดยจุดประสงค์หลักของ Bitcoin ที่เข้าใจได้ชัดคือเพื่อใช้แทนเงินสดหรือสกุลเงินต่างๆ ในการชำระผ่านช่องทางออนไลน์ได้ ซึ่งเอกลักษณ์สำคัญอีกอย่างคงจะเป็นการควบคุมแบบกระจาย (decentralize) ที่จะไม่มีสถาบันการไหนแห่งไหนสามารถควบคุมบิทคอยน์ได้ เพราะ Bitcoin สร้างจากการเขียนโค้ดข้อมุลเชิงซ้อนที่รันโดยระบบคอมพิวเตอร์ด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ซึ่งยากมากที่คนจะแก้ไขด้วยตัวเองได้
จริงๆ แล้ว Bitcoin เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2552 คุณซาโตชิ นากาโมโตะได้ประกาศและเริ่มขุดบล็อกแรกของเชนที่มีปริมาณรางวัลทั้งหมด 50 หน่วย และแน่นอนว่าความนิยมใน Bitcoin ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมมากในขณะนั้น โดยตอนนี้ 1 บิทคอยน์มีมูลค่าสูงถึง 975,774 บาท โดยประมาณ
ทุกการลงทุนล้วนมีความเสี่ยง วลีนี้ยังคงใช้ได้อยู่เสมอนะครับ จากกรณีศึกษาที่นักลงทุนหลายคนต่างนำเงินก้อนโตไปลงทุนซื้อ Bitcoin กันจริงๆ ด้วยราคาที่สูง ซึ่งตามวัฏจักรแล้วก็ต้องใช้เวลาในการคืนทุนนานพอสมควร ทั้งยังอาจพบเจอความเสี่ยงที่มักเกิดขึ้นระหว่างการซื้อขาย bitcoin ที่มีตั้งแต่ระดับต่ำจนถึงสูง ดังนั้นนักลงทุนต้องซื้อขาย bitcoin ด้วยความระมัดระวังและเพื่อลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังต่อไปนี้
- ขาดความรู้ความเข้าใจ แล้วซื้อขาย bitcoin ตามกระแส
- การโจรกรรมทางไซเบอร์ แม้จะเกิดขึ้นยาก แต่ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้
- มีกลุ่มคนมาหลอกในคุณลงทุนใน bitcoin
- ต้นทุนสูง มีความเสี่ยงในการคืนทุน
- ใช้เวลาในการคืนทุนนาน อาจเกิดภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงิน
หลายท่านยังคงมุ่งประเด็นไปที่เรื่องความปลอดภัย จนเป็นที่มาของคำถามที่ว่า bitcoin คือกลลวงหรือไม่? คือกระแสที่มาหลอกให้ศูนย์เงินใช่ไหม? คำตอบคือ ไม่ใช่ครับ จริงๆ แล้ว bitcoin คือสกุลเงินดิจิทัลที่คนทั่วโลกรับรู้แล้วไม่ได้ผิดในหลักเมื่อพิจารณาตามธรรมาชาติของ bitcoin แต่สิ่งที่ทำให้นักลงทุนหลายคนบอกเล่าว่า bitcoin คือ กลลวงก็เป็นเพราะ พวกเขาลงทุนไม่ถูกทาง นั่นเอง
เนื่องจากเว็บไซต์ผิดกฎหมายหลายแหล่งมีการชักชวนคนไทยให้ลงทุนใน bitcoin แล้วหลอกนำเงินจำนวนมากไป ซึ่งนักลงทุนไม่มีความรู้เกี่ยวกับ bitcoin มันจะโดนหลอกง่าย ซึ่งกลลวงที่คุ้นหูกันก็คือการแชร์ลูกโซ่ที่มีการทำเป็นกระบวนการ โดยมีนายหน้าที่มีบุคลิกน่าเชื่อถือมาหลอกว่าสามารถสร้างผลตอบแทนให้เงินของคุณจาก bitcoin ได้หลายเท่า เพียงแค่นำเงินมาฝากรวมกับคนอื่นๆ เพื่อสร้างผลกำไรขนาดใหญ่ แต่นั้นก็เป็นเพียงลมปาก เพราะท้ายที่สุดแล้วนักลงทุนกรณีนี้มักลงเอยที่การสูญเงิน
※ กลลวงแชร์ลูกโซ่ลงทุน bitcoin คืออะไร ควรหลีกเลี่ยงอย่างไร
ในบทความนี้ผมจึงอยากรวบรวมไอเดียที่สามารถป้องกันการตกเป็นเหยือกลโกงแชร์ลูกโซ่ของการลงทุนใน bitcoin โดยท่านผู้อ่านสามารถนำไปปรับใช้กับวิธีการทำอยู่ก็ได้นะครับ
1. ทำความเข้าใจกับ bitcoin อย่างถ่องแท้
คุณต้องยอดรับความจริงถ้ายังไม่เข้าใจใน bitcoin จริงๆ ถ้าถามว่าต้องเข้าใจขนาดไหน? ผมขอยกตัวอย่างกรณศึกษาที่ว่า คุณต้องเข้าใจในทุกๆ ประเด็นที่นำเสนอออกมาผ่านช่องทางทีวี ข่าว และบทความ หากคุณยังไม่มั่นใจในสารที่ได้รับ แสดงว่าคุณยังต้องทำความเข้าใจอีกเยอะ
2. ระลึกเสมอว่าสร้างความมั่งคั่งด้วยตนเองดีที่สุด
แม้จะมีผู้เสนอตัวมาบริหารเงินทุนของคุณมากสักแค่ไหน พึ่งระลึกเสมอว่าเงินของเราเราบริหารเองดีที่สุด เพราะนอกจากคุณจะสามารถกำหนดระยะเวลาคืนทุนได้เองแล้ว ยังสามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ทันทีเมื่อแน่ใจว่าจะสนับสนุนความมั่งคั่งให้แก่พอร์ต
3. ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด
บุคลิกที่สำคัญของนักลงทุนคือ ต้องติดตามความเคลื่อนไหวของโลกทั้งในแง่สังคม สภาพแวดล้อม และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเงินและการลงทุน กระบวนการแชร์ลูกโซ่สมัยนี้มีบนเรียนให้ศึกษาอยู่มาก
4. อาจต้องเปลี่ยนวิธีการลงทุน
เพื่อป้องกันกระบวนการเหล่านี้คุณควรเปลี่ยนจากการนำเงินไปให้คนอื่นเก็งกำไรให้ มาเป็นการลงทุนด้วยการขุด bitcoin การซื้อ bitcoin และการเทรดแบบ CFD จะดีกว่า เพราะสามารถดูและและบริการเงินทุนได้เอง อีกทั้งยังสามารถปรับความยืดหยุ่นและปรับสมดุลให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้
ปัจจุบันการทำกำไรจาก bitcoin ที่ถูกกฎหมายประกอบได้ด้วย 3 ทางเลือกซึ่งผมจะอธิบายในลำดับถัดไป แต่อยากให้คุณเข้าใจก่อนถอดใจว่าแม้ตอนนี้ bitcoin ยังไม่มีกฎหมายรองรับจากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เริ่มมีการเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่มีแผนที่จะเปิดตัวแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เพื่อให้สามารถซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลบางรายการ
1. ขุด bitcoin
การขุด bitcoin คือการใช้ความฉลาดของเครื่องคอมพิวเตอร์แก้สมการทางคณิตศาสตร์เพื่อให้ได้ซึ่งสิทธิ์ทางธุรกรรมและเพิ่มบล็อกลงในเครือข่าย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจะขุด bitcoin ได้นั้นคุณต้องเร็วและขยันมากๆ กว่าจะได้มาเป็นเหรียญ โดยสามารถขุดด้วยเครื่องขุด, Pool Mining หรือ Cloud Mining
โดยทั่วไปแล้วนักขุดจะขุดด้วยด้วยเครื่องขุดหรือที่หลายๆ ท่านเข้าใจกันว่าเป็นเหมือนการทำเหมือง ซึ่งปัจจุบันนี้เครื่องขุด bitcoin ก็มีการพัฒนาไปตามเทคโนโลยีที่ยกระดับขึ้น โดยจากเดิมที่ใช้เครื่องคอม PC ที่มี Pentium 4 ทั่วไปในการขุดก็สามารถให้กำลังขุดมากถึง 100 BTC แต่นั้นก็คือในช่วงประมาณปี 2010 แต่ในตอนนี้นักขุดส่วนใหญ่กำลังใช้งานเครื่องขุด ASIC ที่มีกำลังการขุดสูงสุดด้วย GPU และราคาก็แพงที่สุดอีกด้วย เช่น Bitmain Antminer S5, Bitmain Antminer S7, Bitmain Antminer S9 เป็นต้น
โดยวิธีแบบ Pool Mining ยังคงได้รับความนิยมเพราะเป็นการรวมตัวกลุ่มนักขุดให้มาช่วยกันแล้วแบ่งรางวัลกันทีหลัง แต่ก็มีกระแสออกมาต่อต้านเพราะถ้า Pools เกิดโตมากกว่า 51% ของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบ การโหวตว่า Block ที่ได้นั้นถูกต้องและถูกเติมเข้าไปใน Blockchain จะง่ายขึ้นมาทันทีซึ่งอาจถือเป็นกลโกงที่นักขุด bitcoin รู้กัน ที่สำคัญยังใช้เงินทุนเยอะ ทั้งค่าอุปกรณ์ในการขุด, เช่าพื้นที่, ค่าไฟ ถ้าประเมินดูแล้วต้องใช้เวลาคืนทุนนานถึงประมาณ 12 เดือน
จึงเป็นที่มาของการขุดแบบ Cloud Mining ที่จะมีผู้ให้บริการเกี่ยวกับสัญญาขุด โดยคุณสามารถจ่ายเงินซื้อสัญญาและปล่อยให้ทางผู้ให้บริการทำการขุด โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนในเรื่องของอุปกรณ์ การบำรุงรักษา แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน ทั้งในเรื่อง Scam ที่มาจากเว็บไซต์ปลอม รวมถึงอาจถูกหักค่าธรรมเนียมจากรางวัลที่ได้ ดังนั้นโดยสรุปแล้วการขุด bitcoin ก็อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด
2. ซื้อ bitcoin
การทำกำไรอีกวิธีหนึ่งก็คือการซื้อผ่านเว็บซื้อขาย bitcoin โดยปัจจุบันนักลงทุนที่มีเงินจำนวนมากต่างพยายามหากซื้อ bitcoin เพื่อนำมาเก็งกำไร ยิ่งในช่วงเวลานี้ที่ราคา bitcoin ผันผวนในมุมมองเชิงบวกก็นับเป็นจังหวะดีในการลงทุน ซึ่งช่องทางในการซื้อ bitcoin ในไทยที่นิยมก็คือการซื้อขายแลกเปลี่ยน bitcoin กันผ่าน Wallet หรือผ่านแพลตฟอร์มที่เข้ามาให้บริการกันอยู่มาก โดยคุณจะต้องใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้งานให้ดี
◆ ข้อดี
สามารถถือครอง bitcoin เป็นเวลานาน ผู้ลงทุนสามารถเป็นเจ้าของ bitcoin ผ่านกระเป๋าตังอิเล็กทรอนิก ซึ่งจะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพิ่มเติม
◆ ข้อเสีย
- ใช้เงินทุนเยอะ
เพราะการทำกำไรด้วยวิธีนี้ต้องซื้อด้วยเงินเต็มจำนวน ไม่มีเลอเวอเรจ ไม่มีการผ่อนจ่าย
- ขั้นตอนการทำธุรกรรมยุ่งยาก
การซื้อมาขายไปของ bitcoin ค่อนข้างซับซ้อน ผู้ลงทุนต้องใช้เวลาในการศึกษาอย่างละเอียด
- ต้องจัดเก็บผ่าน bitcoin wallet
ซึ่งผู้ลงทุนต้องเข้าใจบทบาทและวิธีการใช้งาน ทั้งนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะลืมพาสเวิร์ด รหัสผ่าน หรือโดนแฮคได้อีกด้วย
- ทำกำไรได้ด้วยวิธีเดียว
นักลงทุนต้องเก็บ bitcoin ไว้รอราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อถึงจะทำกำไรได้ หากราคาลดลงก็จะขาดทุนอย่างเดียว
3. เทรด bitcoin
สุดท้ายก็มาถึงวิธีการเทรด bitcoin ที่นิยมใช้กันมากที่สุด นั่นก็คือการเทรดแบบ CFD (Contract for Difference) หรือ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง ที่ทำกำไรผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยคุณสามารถลงทุนใน bitcoin ได้โดยไม่ต้องซื้อไม่ต้องเป็นเจ้าของจริงๆ แต่เป็นการทำกำไรตามราคาสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งจะช่วยทุนเงินลงทุนของคุณไปได้เยอะ ที่สำคัญสามารถทำกำไรได้ทั้งราคาขาขึ้นและขาลง เรียกได้ว่าเป็นโซลูชั่นที่ออกแบบมาเพื่อนักลงทุนในยุคนี้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและมิติของการลงทุนที่ยั่งยืน
◆ ข้อดี
- ขั้นตอนไม่ซับซ้อน เทรดได้ทันที
ขบวนการเทรดจะง่ายและเร็วกว่า คุณสามารถทำกำไรรจากความเคลื่อนไหวของราคา bitcoin ได้โดยไม่ต้องถือครอง bitcoin ไม่ต้องมี bitcoin wallet และยังได้หลบเลี่ยงความเสี่ยงในการจัดเก็บอีกด้วย
- เทรดได้สองทาง ทั้งขาขึ้นและขาลง
ปกติแล้วการทำกำไรจะทำได้อย่างเดียวคือซื้อมาในราคาที่ถูกแล้วขายในราคาที่แพง แต่ CFD เปิดโอกาสการทำกำไรมากกว่านั้น โดยคุณสามารถเปิดสถานะซื้อ (Open Long) โดยคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น และ สถานะขาย (Open Short) โดยคาดว่าจะปรับตัวลดลง
- เทรดด้วยเลเวอเรจและมาร์จิ้น
การเทรดแบบ CFD จะมีมาร์จิ้นที่สูง และเลเวอเรจจะช่วยให้คุณลดภาระด้านตัวทุนไปได้เยอะ และขยายขอบเขตในการทำกำไร ตัวอย่างเช่น คุณซื้อ bitcoin 5 เหรียญในราคา $10,000 คุณต้องลงทุนทั้งหมด $50,000 แต่ถ้าคุณมีเลเวอเรจ 1:100 จะทำให้คุณจ่ายเงินเพียง $50,000 x (1/100) = $500 เท่านั้น
◆ ข้อเสีย
- การเทรดด้วยเลเวอเรจอาจพบความเสี่ยงสูง
เลเวอเรจจะเข้ามาทำให้ขอบเขตการลงทุนของคุณยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้คุณมีโอกาสทำกำไรได้ในอัตราที่สูง แต่นั่นก็แสดงถึงความเสี่ยงของการขาดทุนที่อาจเพิ่มสูงขึ้นได้เช่นกัน
- มีค่าคอมมิชชั่นถ้าถือคำสั่งซื้อขายข้ามคืน
โดยทั่วไปแล้วแพลตฟอร์ม CFD จะไม่เรียกเก็บค่าคอมมิชชั่น และจะมีสเปรดที่ค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าหากคุณถือคำสั่งซื้อขายข้ามคืน ระบบจะเก็บค่าคอมมิชชั่นในส่วนนี้เพิ่มเติม ดังนั้นจะเหมาะกับการเก็งกำไรในระยะสั้นมากกว่า
โดยสรุปแล้วจากภาพรวมทั้งหมดผมคิดว่านักลงทุนจะเข้าใจข้อดีและข้อจำกัดของการทำกำไรแต่ละรูปแบบของ bitcoin ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นมุมมองการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ว่ากลไกการขับเคลื่อนหลักจะอยู่ที่ไหน และอะไรที่มีอิทธิพลสูงสุด อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือการดีไซน์โซลูชั่นการลงทุนของคุณให้มีประสิทธิภาพ โดยเริ่มจากการเลือกวิธีทำกำไรจาก bitcoin ที่เหมาะสมกับคุณและสามารถนำไปใช้งานได้จริง
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง: การซื้อขายอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมด การซื้อขายอนุพันธ์แบบ OTC อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดพิจารณาเอกสาร PDS, FSG, คำชี้แจงการเปิดเผยความเสี่ยงและข้อตกลงลูกค้าก่อนใช้บริการของเรา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดทราบว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ในสินทรัพย์อ้างอิง