การลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนเสมอมา และหลายคนก็ยังเลือกสินค้านี้เป็นตัวเลือกแรก ๆ ในการเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักลงทุนด้วย ซึ่งหากวันนี้ใครที่กำลังคิดอยู่ว่าจะเริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกแล้วยังไม่รู้จะจับจุดยังไง จะเริ่มตรงไหนดี ก็ลองมาฟังคำแนะนำที่เราเตรียมมาในวันนี้กันได้เลย เพราะเราเตรียมแนวคิดและวิธีการสำหรับเริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกตั้งแต่ต้นจนจบมาให้แล้ว
แม้จะเป็นสินค้าตัวเดียวกันอย่าง หุ้น แต่กลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ลงทุนให้ประสบความสำเร็จก็มีให้เลือกอยู่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดและความต้องการของตัวนักลงทุนเอง ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกเราควรต้องหันกลับมาสำรวจตัวเองด้วยคำถามนี้ก่อนว่า
1) เราต้องการเล่นหุ้นในระยะเวลายาวหรือสั้นแค่ไหน?
2) เตรียมเงินทุนสำหรับการลงทุนไว้เท่าไหร่?
3) ยอมรับความเสี่ยงในการเทรดได้แค่ไหน?
ซึ่งสามารถนำมากำหนดเป็นกลยุทธ์การลงทุนได้ 3 แบบคือ
- การลงทุนระยะยาว วิธีนี้จำเป็นต้องอาศัยการเลือกหุ้นที่ดีมีโอกาสเติบโตสูงเพื่อซื้อและถือหุ้นไปเป็นระยะเวลาหลายปี ซึ่งผลตอบแทนของหุ้นปกติเฉลี่ยอยู่ที่ราว 10-20% ต่อปี จึงจำเป็นต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่ต้องการ ซึ่งเราสามารถคาดหวังการเติบโตของเงินทุนและผลตอบแทนจากการเป็นเจ้าของหุ้นบริษัทในอนาคตได้
- ลงทุนในระยะกลาง วิธีนี้นักลงทุนอาจเข้าซื้อหุ้นและถือไว้ในระดับหลายวันจนถึงหลายสัปดาห์เพื่อเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์เฉพาะ ซึ่งวิธีนี้จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการลงทุนในระยะยาว แต่ก็สามารถใช้เงินทุนที่น้อยกว่าเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในเวลาที่สั้นกว่าได้
- ลงทุนในระยะสั้น วิธีนี้อาศัยเงินลงทุนจำนวนไม่มาก แต่จำเป็นต้องอาศัยทักษะการจับจังหวะเข้าเก็งกำไรในความผันผวนเป็นการเฉพาะ ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าสองวิธีด้านบน แต่ก็สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะสั้นที่เป็นกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเรากำหนดกลยุทธ์การลงทุนของตัวเองสำหรับการเล่นหุ้นครั้งแรกได้แล้ว ต่อไปเราจะมาตามหาเครื่องมือที่เหมาะสมกับกลยุทธ์แต่ละประเภทกัน
วิธีการลงทุนในหุ้นก็มีหลากหลายรูปแบบ แต่ละแบบก็มีเงื่อนไขและต้นทุนที่แตกต่างกัน ซึ่งเราสามารถนำไปใช้สร้างความได้เปรียบให้กับกลุยธ์การลงทุนของเราได้ เพียงเลือกใช้ให้เหมาะสม เช่น
1) การเทรดหุ้นแบบดั้งเดิม
วิธีนี้เป็นการลงทุนในหุ้นที่เราพบเห็นได้บ่อย คือการเปิดพอร์ตหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์และเริ่มทำการซื้อขาย ซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้เป็นเจ้าของหุ้นและได้รับสิทธิในหุ้นอย่าง การได้เงินปันผล การได้ร่วมประชุมผู้ถือหุ้น ไม่มีดอกเบี้ยการถือหุ้นข้ามคืน
แต่ด้วยเงื่อนไขการซื้อขายที่นักลงทุนจำเป็นต้องวางเงินเต็มจำนวน และมีต้นทุนในการซื้อขายสูง-คิดค่าคอมมิสซั่น 0.19-0.25% (ไม่รวมภาษี) ของมูลค่าการซื้อขาย (ทั้งขาซื้อและขาขาย) และทำกำไรได้เฉพาะราคาขาขึ้น ทำให้วิธีนี้เหมาะสำหรับกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นในระยะกลางขึ้นไป เพราะหากใช้วิธีนี้ในการซื้อขายในระยะสั้นจะทำให้มีต้นทุนในการซื้อขายสูงมากจนไม่คุ้มกับกำไรที่หามาได้
ตัวอย่าง
การซื้อหุ้น SCC ในตลาดหุ้นไทย ที่ราคา 400 บาทที่ขั้นต่ำการลงทุน 100 หุ้น ด้วยค่าคอมมิสชั่น 0.25%+7% VAT
· จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 400x100 = 40,000 บาท (40,107 บาทรวมคอมฯ)
· หากราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 10% และขายได้ที่ 440 บาท คิดเป็นมูลค่า 440x100 = 44,000 บาท (43,882.7 บาทหลังหักคอมฯ)
· ต้นทุนการซื้อขายค่าคอมมิสชั่นทั้งหมด [(400+440) x 0.25%] x 107% = 224.7 บาท
· กำไรที่เหลือ = 3,775.3 บาท หรือคิดเป็น 9.4% ของเงินต้น
2) การเทรดอนุพันธ์หุ้น CFD
CFD(ชื่อเต็ม Contract for Difference ภาษาไทยเรียกว่า สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) เป็นตราสารทางอนุพันธ์อย่างหนึ่งที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนทำกำไรได้จากส่วนต่างของราคาซื้อขายสินค้าอย่างสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ รวมถึงหุ้นโดยไม่ต้องทำการซื้อขายสินค้าจริงๆ จึงสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง โดยที่ไม่จำเป็นต้องวางเงินทั้งหมดแต่วางแค่บางส่วน และใช้ความได้เปรียบจากเลเวอร์เรจเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร(*เลเวอเรจเป็นดาบสองด้าน เลเวอเรจก็สามารถขยายการขาดทุนได้ด้วย)
วิธีนี้แม้ไม่ได้ทำให้นักลงทุนได้เป็นเจ้าของและได้รับสิทธิในการถือหุ้น แต่ก็เป็นวิธีที่มักถูกนำมาใช้ในการเทรดระยะสั้นซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิทธิเหล่านั้นมากนัก แต่มุ่งเน้นการสร้างกระแสเงินสดมากกว่า ปัจจัยที่ต้องคำนึงจึงเป็นต้นทุนในการซื้อขายเป็นหลัก ซึ่งจะมีต้นทุนจากค่าสเปรดราคา และอัตราดอกเบี้ยข้ามคืน
ตัวอย่าง
การซื้อหุ้น Apple ด้วย CFD กับโบรกเกอร์ MiTrade ที่ราคา $120 ดอลล่าร์ ขั้นต่ำ 10 lot ด้วยเลเวอเรจ 1:20 และสเปรด 0.06 pip ของเงินลงทุน
· จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 120x10x1/20 = $60 หรือราว 1,800 บาท
· หากราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 10% และขายได้ที่ $132
· กำไรที่ได้เป็น $12 หรือคิดเป็น 20% ของเงินทุนตั้งต้น
จะเห็นว่าการเทรด CFD ทำให้นักลงทุนสามารถใช้เงินทุนแค่บางส่วนในจำนวนที่น้อยกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม ทำให้ตุ้นทุนการเทรดต่ำกว่า ขณะที่มีความได้เปรียบจากอัตราทดทำให้การเทรด CFD ทำกำไรได้มากกว่า เครื่องมือตัวนี้จึงเหมาะกับการเทรดที่ใช้เงินทุนน้อยและจำเป็นต้องมีการซื้อขายซ้ำ ๆ เพื่อสร้างกระแสเงินสดในระยะสั้นที่สุด
สรุปความแตกต่างระหว่างการเล่นหุ้นแบบดั้งเดิมและการเล่นตราสารอนุพันธ์หุ้น CFD
เล่นหุ้นแบบดั้งเดิม | เล่นตราสารอนุพันธ์หุ้น CFD | |
ความเป็นเจ้าของหุ้น | ✔ | ✘ |
เลเวอเรจ | ✘ | ✔ |
สภาพคล่อง | ขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อขายของตลาด | ดี-มีการเสริมสภาพคล่องจากโบรกเกอร์ |
ความเสี่ยง | ปานกลาง-สูง จากปัจจัยเฉพาะและความผันผวนของตลาด | สูง จากราคาหุ้นและจากการใช้เลเวอร์เรจ |
เงินทุนเริ่มต้น (มาร์จิ้น) | วางเงินเต็มจำนวน ใช้เงินทุนมาก | วางเงินบางส่วน ใช้เงินทุนน้อย |
ต้นทุนการซื้อขาย | มีค่าคอมมิสชั่นขั้นต่ำ 53.5-107 บาทต่อวัน | ไม่มีค่าคอมมิสชั่น สเปรดต่ำ มีค่า swap |
วิธีการทำกำไร | ทำกำไรจากราคาขาขึ้นเท่านั้น | ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง |
ขั้นตอนการเปิดบัญชี | ซับซ้อน ใช้เวลา | สะดวก รวดเร็ว |
『 ค่าธรรมเนียม 0 สเปรดต่ำ เลเวอเรจสูง 』
『 ฟรีเงินเสมือนจริง 50, 000 USD 』
『 ฟรีเครื่องมือการจัดการความเสี่ยง 』
เมื่อเลือกกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นครั้งแรกและเลือกเครื่องมือในการลงทุนได้เรียบร้อยแล้ว คราวนี้เราคงต้องมาดูถึงโบรกเกอร์ที่จะเป็นตัวกลางส่งคำสั่งซื้อขายให้กับเรา รวมถึงจะเป็นผู้ดูแลเก็บรักษาเงินทุนของเราไว้ด้วย ดังนั้นการเลือกโบรกเกอร์จึงมีความสำคัญ และควรค้นข้อมูลรวมถึงการรีวิวจากลูกค้าอื่น ๆ ในประเด็นเช่น
- มีความน่าเชื่อถือและมีความปลอดภัยของเงินทุน สำหรับโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นแบบดั้งเดิมในไทย จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตและกำกับดูแลโดยกลต. ส่วนโบรกเกอร์ต่างประเทศอย่างน้อยที่สุดควรได้รับใบอนุญาตและได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น MiTrade ที่ได้รับการกำกับดูแลจาก ASIC ประเทศออสเตรเลีย
- ค่าธรรมเนียม ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่านอกเหนือจากค่าคอมมิสชั่น สเปรดราคา และดอกเบี้ยข้ามคืน การคิดค่าธรรมเนียมของแต่ละโบรกเกอร์ยังมีต้นทุนอื่นแอบแฝงอยู่อีกหรือไม่ด้วยการศึกษาจากข้อมูลที่โบรกเกอร์ให้ รวมถึงรีวิวจากผู้ใช้อื่น
- ความเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขาย ความเร็วในการซื้อขายหมายถึงราคาที่เราจะได้ เพราะการส่งคำสั่งช้าหรือเร็วไปแม้เพียงเสี้ยววินาที อาจหมายถึงราคาที่เปลี่ยนไปได้
- บริการลูกค้า ฝ่ายบริการลูกค้าของแต่ละโบรกเกอร์ก็มีช่วงเวลาและขั้นตอนการทำงานที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งหากลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายก็หมายความถึงความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์และการเอาใจใส่ช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที
- ช่องทางการฝากถอนเงิน เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่แต่ละโบรกเกอร์จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า โดยอย่างน้อยที่สุดควรมีบริการฝากถอนเงินผ่านธนาคารไทยเพื่อให้การฝากถอนเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว
- เงินฝากขั้นต่ำ โบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นแบบดั้งเดิมของไทยมักไม่มีเงื่อนไขเงินฝากขั้นต่ำ (มักมีเงื่อนไขค่าคอมมิสชั่นขั้นต่ำต่อวันที่ 53.5-107 บาท) แต่โบรกเกอร์ซื้อขาย CFD ในต่างประเทศมักมีกำหนดเงินฝากขั้นต่ำที่ราว 200-10,000 UDS ซึ่งนักลงทุนควรเช็กเงื่อนไขเงินทุนของตนเองก่อนตัดสินใจเปิดบัญชี
- เครื่องมือการเทรด เครืองมือการจัดการความเสี่ยง แต่ละโบรกเกอร์มักมีเครื่องมือและแพลตฟอร์มการเทรดให้กับลูกค้า ซึ่งเราก็ควรศึกษาว่าแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ที่เราเลือกนั้นมีฟังก์ชั่นที่จำเป็นครบถ้วนหรือไม่ เช่น Stop loss/ Trailing Stop ฯลฯ
▲สำหรับนักลงทุนที่สนใจการซื้อขายหุ้นแบบดั้งเดิม เพื่อความสะดวกอาจพิจารณาบริษัทหลักทรัพย์ในไทย เช่น
1. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง
เป็นบริษัทหลักทรัพย์เก่าแก่และเป็นที่รู้จักดีของคนไทย ให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์และบริการด้านการลงทุนอีกหลากหลาย และปัจจุบันยังเป็นโบรกเกอร์หุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงที่สุดอีกด้วย
2. บัวหลวง
เป็นอีกหนึ่งบริษัทหลักทรัพย์ที่เก่าแก่ของไทยและเป็นบริษัทในเครือของธนาคารกรุงเทพให้บริการซื้อขายหุ้น และกองทุน ที่เป็นบริษัทในเครือแบบนี้ ทำให้การลงทุนทั้งหมดสามารถรวมลงในที่เดียวได้ ซึ่งนับเป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าอย่างหนึ่ง
3. กสิกร
หลักทรัพย์กสิกรอาจมีประวัติไม่ยาวนานเท่าสองบริษัทแรก แต่ค่อนข้างมีจุดเด่นด้านบทวิเคราะห์และแอปพลิเคชั่นรวมถึงฟังก์ชั่นสนับสนุนการซื้อขายหุ้นที่ค่อนข้างครบ ทำให้เป็นโบรกเกอร์ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง
▲สำหรับนักลงทุนสนใจซื้อขายตราสารอนุพันธ์หุ้น CFD นั้นยังไม่มีโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทย จึงต้องเลือกใช้โบรกต่างประเทศที่สนับสนุนการซื้อขายในไทย เช่น
Mitrade
Mitrade เป็นโบรกเกอร์ CFD ที่ได้รับใบอนุญาตจาก ASIC จากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และการลงทุนออสเตรเลีย ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าเงินทุนจะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ทั้งยังมีฝ่ายบริการลูกค้าที่รองรับภาษาไทยที่มีความเป็นมืออาชีพทำให้ MiTrade กลายเป็นโบรกเกอร์ Forex ที่ได้รับความเชื่อถือจากนักลงทุนทั่วโลก ด้วยการการันตีจากผู้ใช้กว่า 270,000 คนทั่วโลก
Mitrade ให้บริการซื้อขายทั้งค่าเงิน สกุลเงินดิจิตอล สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงหุ้นรายตัวด้วยเงื่อนไขการลงทุนที่แตกต่างกันไป
ตอนนี้โบรกเกอร์ Mitrade ได้เปิดให้นักลงทุนสามารถเทรด 60 หุ้นของบริษัทยักษัใหญ่ได้ รวมถึง Facebook, Google, Apple, Amazon, Adobe, Walt Disney, Microsoft, Walmart และ Alibaba เป็นต้นและจะเปิดให้มากขึ้นอีกต่อไป
การเทรดหุ้นกับ Mitrade จะไม่มีค่าคอมมิชชั่นซื้อขายและด้วยการที่มีสเปรดที่ต่ำ ช่วยลดต้นทุนในการเทรด และด้วยเลเวอเรจการเทรดหุ้นที่สูงถึง 1:20 ที่สามารถช่วยขยายขอบเขตการทำกำไร จึงทำให้การได้กำไรจากการเทรดหุ้น CFD จะง่ายขึ้น
ด้วยแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเองเพื่อตอบสนองความต้องการของเทรดเดอร์ด้วยการออกแบบที่เป็นมิตรและใช้งานง่าย ขณะเดียวกันก็ยังคงฟังก์ชั่นพื้นฐานไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชั่น Take Porfit, Stop Loss/ Trailing Stop, ช่วยเติมประสบการณ์การลงทุนให้กับเทรดเดอร์ได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์แบบ
Mitrade ยังได้จัดบัญชีเทรดทดลงพร้อมเงินเสมือนจริง $50, 000 ดอลล่าร์ให้กับนักลงทุนหน้าใหม่ ทำให้นักลงทุนสามารถทำการคุ้นเคยตลาด CFD และฝึกฝนทักษะการเทรดโดยไม่มีความเสี่ยงใดๆ
ท้ายที่สุด เมื่อเราเลือกโบรกเกอร์และเปิดบัญชีได้เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องลงมือหาความรู้เพื่อทำการเลือกหุ้นตัวแรกที่จะเริ่มทำการเทรดตามกลยุทธ์ที่เราได้วางไว้ตั้งแต่แรก โดยการศึกษาจากบทวิเคราะห์ การวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจ รวมถึงการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ อย่างไรบ้าง และนำบริษัทที่เราลิสต์เอาไว้มาลองทำการวิเคราะห์ต่อด้วยการ
- วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน วิธีนี้จะเป็นการวิเคราะห์คุณภาพของบริษัทที่เราจะเข้าทำการซื้อขายหุ้นว่ามีความสามารถในการทำกำไรได้ดีหรือไม่ ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ที่หลากหลาย เช่น การวิเคราะห์งบการเงิน การวิเคราะห์ CANSLIM การวิเคราะห์สัดส่วนทางการเงินอื่น ๆ ที่จะบ่งบอกคุณภาพและความคุ้มค่าของเงินทุนที่เราจะลงไปในหุ้นนั้น ๆ
และเนื่องจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นการวิเคราะห์คุณภาพที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการสะท้อนเข้าไปในราคา และมักจะใช้เวลาในการรอให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น จึงมักนิยมใช้ในการวิเคราะห์หุ้นสำหรับการลงทุนในระยะยาวเท่านั้น
- วิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์นี้จะใช้การวิเคราะห์แรงซื้อ-ขาย ที่สะท้อนอยู่ในราคาและปริมาณการซื้อขาย เพื่อหาจุดเข้าซื้อและจุดขาย ซึ่งมีหลากหลายวิธีให้เลือก เช่น การใช้ Price Action, การใช้ Indicator, การเทรดโดยคำนวนค่ากลาง (Pivot Price), การเทรดแบบ Price Pattern, การเทรดตามแนวรับ-แนวต้าน (Fibo) ฯลฯ ที่มักเป็นการวิเคราะห์ราคาเฉพาะหน้าลงไปตรง ๆ จึงสามารถใช้ในการเก็งกำไรระยะสั้นและระยะกลางได้
การซื้อขายหุ้นนั้นใคร ๆ ก็ต่างเคยมีการเริ่มเล่นหุ้นครั้งแรกทั้งนั้น และเหล่านี้ก็คือข้อควรรู้สำหรับมือใหม่ที่เริ่มเล่นหุ้นครั้งแรก ซึ่งการกำหนดกลยุทธ์ การเลือกโบรกเกอร์และเลือกเครื่องมือมักจะเป็นส่วนสำคัญที่ชี้วัดการประสบความสำเร็จในการเทรดได้ในเบื้องต้น ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และการสะสมทักษะประสบการณ์ในการซื้อขายในตลาดแล้วว่าจะทำให้เราไปได้ไกลแค่ไหน
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง: การซื้อขายอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมด การซื้อขายอนุพันธ์แบบ OTC อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดพิจารณาเอกสาร PDS, FSG, คำชี้แจงการเปิดเผยความเสี่ยงและข้อตกลงลูกค้าก่อนใช้บริการของเรา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดทราบว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ในสินทรัพย์อ้างอิง