ช่วงใกล้สิ้นปีหลายคนกำลังหาโอกาสการลงทุนดี ว่าปีใหม่ 2566 จะลงทุนอะไรดีที่รองรับ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และต้อนรับการกลับมา หลังจากเปิดประเทศ และหวังว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ กลับมาดีขึ้น
วันนี้ผมได้รวบรวมจากหลายบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม และบทวิเคราะห์ต่างๆ ว่าควรลงทุนอะไรดี เป็น 5 ธีมการลงทุนที่น่าสนใจ สำหรับใกล้สิ้นปีนี้ และรองรับการเติบโตของปีหน้า
ประกอบกับช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับฐานลงกว่าทั่วโลก กว่า 20-50% บางประเทศตลาดหุ้นยังไม่ขยับกลับเท่า
ไปในปี 2563 ช่วงที่เกิดโควิด -19 แรกๆ ซึ่งคำกล่าวของ Warren Buffet ที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า จงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว” บางคนกลัวการลงทุนไปแล้ว ไม่กล้าลงทุนและ บางคนมองว่านี้อาจเป็นโอกาสที่จะสะสมการลงทุน ของการกลับมาเศรษฐกิจครั้งใหม่
จากสถิติชี้ชัดว่า การลงทุนระยะยาว และลงทุนในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว เป็นโอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว จากข้อมูลของ Bloomberg และ Finnomena พบว่า การลงทุนระยะยาว 90 ปีย้อนหลัง เฉลี่ยแล้ว ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.4% ต่อไปในระยาว ถึงแม้ว่าทุกๆ 6 ปี จะมีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ถ้าลงทุนยาวได้เกิน 10 ปี โอกาสขาดทุนก็แทบจะไม่มีเลยครับ
จากสถิติ เพิ่มเติมพบว่า หลังจากการปีวิกฤตเศรษฐกิจ ตลาดระหว่างปีมีความผันผวนลงไปกว่า 50% แต่พอใกล้สิ้นปีตลาดขยับขึ้นมาฟื้นได้ดี และหลังจากปีวิกฤต ส่วนใหญ่ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับมาให้ผลตอบแทนมากกว่า 10%
M = Macro
เป็นการมองการเศรษฐกิจภาพใหญ่ว่าตอนนี้เศรษฐกิจเป็นอย่างไร? สิ่งที่ควรทำเพิ่มเติมควรติดตามผลการประชุมของธนาคารของแต่ละประเทศอย่างใกล้ชิด ดูนโยบายการเงินและการคลัง รวมไปถึงนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ประเทศ และ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างเช่น การเติบโตของ GDP เงินเฟ้อ ความเชื่อภาคผู้บริโภคและภาคผลิต อัตรางานจ้างงาน อัตราการว่างงาน เป็นต้น
E = Earning
กำไรของบริษัทจดทะเบียนถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ภาวะเศรษฐกิจเติบโตและ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นขึ้น หรือลง ส่วนใหญ่ก็เป็นผลมาจากปัจจัยการเติบโตของเศรษฐกิจ และตัวเลขรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ
ตัวอย่าง เช่น ข้อมูลงบการของ 9 เดือน ปี 2022 พบว่ากว่า 50% ประกาศผลกำไรออกมาดีกว่าคาดการณ์ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับมาสดใส ในระยะสั้นอีกครั้ง และรอดูภาวะเศรษฐกิจต่อไป
V = Valuation
เป็นการมองว่าตลาดหุ้นแต่ละประเทศหรือแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม มีความถูกหรือความแพง เมื่อเทียบตลาดหุ้นทั่วโลก อย่างตัวเช่น ดัชนี หุ้นโลกซื้อขายกันอยู่ที่ 13 เท่าของกำไร (P/E) แต่ในขณะที่เวียดนาม หรือจีนซื้อขายเพียง 8-9 เท่า
ถ้ามองความถูกแพง เราอาจจะมองได้ว่าตลาดหุ้นจีนหรือเวียดนาม ถือว่าเป็นของถูกเมื่อเทียบกับตลาดโลก
T = Technicals
มุมมองด้านเทคนิคอาจจะมองว่าดัชนีของประเทศนั้นไม่ทำจุดต่ำสุดแล้ว ค่อยๆ กลับมาดูดีขึ้น หรือรอจังหวะการลงทุนที่สะสมทุกๆ แนวรับสำคัญ ก็จะเป็นโอกาสการลงทุนในจังหวะที่ดี
1. ธีมหุ้นจีน
ทำไมตลาดหุ้นจึงน่าสนใจ เนื่องจากประเทศจีนเป็นประเทศเดียวที่ตลาดหุ้น ยังมี Valuation มูลค่าตลาดถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก ข้อมูล Forward P/E ของตลาดหุ้นจีนข้อมูล ณ ธันวาคม 2566 P/E อยู่ที่ 10 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นโลกซื้อขายกัน 13 เท่า ประเด็นถัดมามีข่าวดีที่รัฐบาลจีน เริ่มผ่อนคลายนโยบาย Zero Covid แล้วมีแผนการรับรองประเทศในปีหน้า และมีแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง มากกว่านี้ เป็นประเทศที่จะเริ่มเน้นการเติบโตทางคุณภาพ มากกว่าเติบโตเชิงปริมาณ ทำให้ประเทศจีนเป็นประเทศที่น่าสนใจมากๆ ในการสะสมในการลงทุนระยะยาว
2. ธีมหุ้นเวียดนาม
ทำไมตลาดหุ้นเวียดนาม จึงน่าสนใจเนื่องจากเวียดนามเป็นประเทศเดียวในปีนี้ ตลาดหุ้นปรับฐานลงไปเยอะมากจากปัญหา คอรัปชันในประเทศเวียดนาม แต่มองถึงศักยภาพของเศรษฐกิจ พบว่า ประเทศเวียดนามมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของ GDP ดีกว่าประเทศในเอเชียทั้งหมด และ Valuation ของตลาดหุ้น ข้อมูล Forward P/E ของตลาดหุ้นเวียดนามข้อมูล ณ ธันวาคม 2566 P/E อยู่ที่ 7 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นโลกซื้อขายกัน 13 เท่า มากกว่าประเทศเวียดนามมองว่าเหมือนประเทศไทยเมื่อ 10 ปีทีแล้ว ที่เศรษฐกิจจะกำลังรุ่งเรื่อง จากประชากรส่วนใหญ่ อยู่ในวัยแรงงานและ มีการลงทุนจากภาคเอกชนเป็นจำนวนมาก ที่หันไปลงทุนในเวียดนาม ทำให้ประเทศเวียดนาม เป็นประเทศที่น่าสนใจมากๆ ในการสะสมในการลงทุนระยะยาวเช่นกัน
3. ธีมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสุขภาพ
ทำไมหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นกลุ่มสุขภาพ ถึงน่าสนใจ เนื่องจากมูลค่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ที่ซื้อขาย 10 อันดับสูงสุดของโลก และมีผลต่อการขับเคลื่อนภาวะเศรษฐกิจโลกของปัจจุบัน หลีกเลี่ยงไม่พ้น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ยกตัวอย่าง เช่น Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon และ Tesla เป็นต้น
ซึ่งแทบทุกคนล้วนคนเคยเห็นแบรนด์เหล่านี้ และแทบทุกคนก็ใช้แบรนด์เหล่านี้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และส่วนใหญ่ หุ้นที่เป็นหุ้นเติบโต รายได้ดี กำไรดีต่อเนื่อง ก็หนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งปี 2565 หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี มีการปรับฐานลงกว่า 50% จึงเป็นโอกาสที่ดีจะทยอยสะสมและพอร์ตการลงทุนเติบโตไปพร้อมกลุ่มเทคโนโลยี
นอกจากนี้หุ้นกลุ่มสุขภาพ ถือว่าเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive มีการปรับตัวลงอย่างในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา กลุ่มนี้มีการปรับฐานแค่ -20% น้อยกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากกลุ่มสุขภาพ อยู่ใน Megatrend การเติบโตระยะยาวเช่นเดียวหุ้นกลุ่ม Technology
เพราะว่ากลุ่มการแพทย์ กลุ่มสุขภาพ จะตอบโจทย์ที่หลายๆ ประเทศกำลังเข้าสู่ในยุคสูงวัย ทำให้กลุ่มการแพทย์มีความจำเป็นมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงควรสะสมกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มสุขภาพ ในการลงทุนระยะยาว
4. ธีมตราสารหนี้
ทำไมตราสารหนี้จึงควรมีในพอร์ตการลงทุน พบว่า สินทรัพย์ตราสารหนี้ส่วนใหญ่จะให้ผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอน และความเสี่ยงต่ำ (ความผันผวน) เมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้น เนื่องจาก ในปี 2566 มีหลายบทวิเคราะห์จากบริษัทกองทุนชั้นนำ พบว่า ปี 2566 ตลาดหุ้นไม่ได้เลวร้ายเหมือนในปี 2565 แต่ยังอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยอยู่ และควรมีตราสารหนี้ในพอร์ตการลงทุน จากเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ตราสารหนี้ จึงเป็นอีกทางเลือกลงทุนที่น่าสนใจอย่างมากท่ามกลางสภาวะตลาดการเงินที่ผันผวนจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ผลตอบแทนจากตราสารหนี้จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับหุ้น หากนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในพอร์ต และต้องการกระจายความเสี่ยง ลดความผันผวนของผลตอบแทนให้กับพอร์ตลงทุนโดยรวม “ตราสารหนี้” จะเป็นตัวช่วยชั้นดีให้กับเรา
ตราสารหนี้จึงควรมีติดพอร์ตในการลงทุน ตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เสี่ยงได้น้อย ก็มีตราสารหนี้ในพอร์ตมากหน่อย
เสี่ยงได้มาก ก็มีตราสารหนี้ในพอร์ตการลงทุนที่น้อยหน่อยครับ
5. ธีมอสังหาริมทรัพย์
ทำไมอสังหาริมทรัพย์ถึงควรมีในพอร์ตการลงทุน เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่ผ่าน จะพบว่าคนส่วนใหญ่อยู่บ้าน แทบไม่ได้เดินห้าง ดูหนัง ทำงานที่ออฟฟิศ หรือไปเที่ยวไหนเลย แต่จากสถิติ 2565 เดือนพฤศจิกายนพบล่าสุดที่ผ่านมา พบว่า กว่า 80% ของคนส่วนใหญ่เริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ การจองร้านค้าในห้าง ออฟฟิศ หรือโรงแรมท่องเที่ยว อัตราการจองเริ่มกลับมาเป็นปกติ และจากสถิติย้อนหลังเมื่อ ปี 2008 เป็นปีที่อสังหาริมทรัพย์เกิดฟองสบู่ปีนั้น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ติดลบมากกว่า 50% แต่หลังจากปีวิกฤตเศรษฐกิจพบว่า กลุ่มอสังหาล้วนให้ผลแทนที่น่าสนใจ บางปีดูดีกว่าตลาดหุ้น
ผมแนะนำควรมีพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ติดพอร์ตไว้อย่างน้อย สัก 10% เพื่อรองรับนโยบายการเปิดประเทศครับ
สุดท้าย 5 ธีมที่ควรมีในพอร์ตการลงทุน สิ้นปี 2565 และพร้อมลงทุนในระยะยาวต้อนรับปี 2566 ได้แก่ ธีมหุ้นจีน เวียดนาม, เทคโนโลยีและสุขภาพ, ตราสารหนี้และอสังหาริมทรัพย์ เพื่อนๆ สามารถจัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องการลงทุนตามสถานการณ์ และศึกษ สินทรัพย์เพิ่มเติมก่อนการลงทุนด้วยนะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการลงทุนและพอร์ตการลงทุนเติบโตในระยะยาวครับ
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง: การซื้อขายอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมด การซื้อขายอนุพันธ์แบบ OTC อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดพิจารณาเอกสาร PDS, FSG, คำชี้แจงการเปิดเผยความเสี่ยงและข้อตกลงลูกค้าก่อนใช้บริการของเรา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดทราบว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ในสินทรัพย์อ้างอิง