การลงทุนในหุ้นเป็นหนึ่งในไม่กี่หนทางที่จะปลูกเงินต้นให้งอกเงยได้เป็นหลาย ๆ เท่าตัว ในแบบที่การฝากเงินหรือการซื้อพันธบัตรไม่สามารถทำได้ จึงไม่แปลกใจเลยหากการเล่นหุ้นจะกลายมาเป็นหนึ่งในหนทางลงทุนที่คนทั่วไปใฝ่ฝันอยากเข้ามาสัมผัส
ทั้งนี้การเปิดพอร์ตเล่นหุ้นสำหรับคนไทยก็ยังคงมีขั้นตอนที่ซับซ้อน การคิดค่าคอมมิสชั่นบวกภาษีและค่าธรรมเนียมอีกหลายชั้นในแบบที่ต้องคุยกันยาวกว่าจะรู้แบบครบจบ อย่างไรก็ดีคราวนี้เราจะมาพูดถึงเงินต้นสำหรับการลงทุนกันก่อนว่าเล่นหุ้นเริ่มต้นกี่บาท และนักลงทุนที่เริ่มเล่นหุ้นควรกันเงินลงทุนไว้อย่างน้อยเท่าไหร่บ้าง
สำหรับการเล่นหุ้นในประเทศไทย ปัจจุบันเริ่มเปิดกว้างให้กับทั้งการลงทุนในและต่างประเทศ โดยบัญชีซื้อขายหุ้นที่เลือกใช้ได้มี 3 รูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบเรียกร้องเงินลงทุนเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป เช่น
1. บัญชี Cash Balance
เป็นคล้ายกับบัญชี Pre-Paid นั่นคือโอนเงินเข้ามาเท่าไหร่ก็ใช้ซื้อขายหุ้นได้เท่านั้น ดังนั้นบัญชีนี้จึงไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินต้นสำหรับการลงทุน
2. บัญชี Cash Account
บัญชีนี้มีลักษณะคล้ายกับวงเงินในบัตรเครดิต ที่นักเทรดสามารถซื้อขายด้วยวงเงินได้ก่อน และส่วนต่างของการซื้อขายจะทำการ settle ในบัญชีเงินฝากในอีก 2 วันทำการถัดไป นั่นคือหากนักเทรดมียอดสุทธิในวันเป็นซื้อ อีกสองวันจะมีการตัดเงินออกจากบัญชีธนาคารเป็นค่าซื้อโดยอัตโนมัติ แต่หากนักเทรดมียอดสุทธิในวันเป็นกำไรหรือการขาย อีกสองวันก็จะมีการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเป็นยอดนั้น ๆ
บัญชีชนิดนี้สำหรับการซื้อขายแล้วไม่มีขั้นต่ำเช่นเดียวกับการซื้อขายบัญชีแรก แต่มักจะมีข้อกำหนดเรื่องการยื่นสเตทเมนต์ในช่วงเปิดบัญชีที่นักเทรดจะต้องมีเงินฝากหรือสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อมายื่นขอวงเงินในมูลค่าไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโบรกเกอร์) ดังนั้นสำหรับการซื้อขายด้วยบัญชีนี้ นักเทรดจึงควรเตรียมเงินเล่นหุ้นเริ่มต้นกี่บาทที่ 500,000 บาทไว้เป็นอย่างน้อย
3. บัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศ
ปัจจุบันหลาย ๆ โบรกเกอร์ให้ความสำคัญกับการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น และเปิดให้นักเทรดยื่นขอใช้บัญชีซื้อขายหุ้นในต่างประเทศได้แยกออกมาเป็นพิเศษ ซึ่งการบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศของแต่ละโบรกเกอร์จะมีขั้นตอนแตกต่างกัน และนักเทรดจำเป็นต้องเตรียมเงินทุนเริ่มต้นในจำนวนที่แตกต่างกันไป
บางโบรกเกอร์อนุญาตให้นักเทรดที่มีบัญชีในส่วนที่สอง (Cash Account) สามารถเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้ ซึ่งในกรณีนี้นักเทรดจึงต้องมีบัญชีที่สองที่จำเป็นต้องยื่นสเตทเมนต์ 500,000 บาทในการขอเปิด จึงต้องเตรียมเงินลงทุนขั้นต้นไว้ที่ 500,000 บาทเป็นอย่างน้อย
สำหรับบางโบรกเกอร์นักเทรดจำเป็นต้องมีวงเงินในการเทรด2,000,000 บาทขึ้นไปจึงจะสามารถเปิดใช้บัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้ นั่นหมายความว่านักเทรดจำเป็นต้องมีสเตทเมนต์หรือใบหุ้นหรือสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อแสดงสินทรัพย์มูลค่า 2,000,000 บาทขึ้นไปประกอบการเปิดบัญชี จึงจะสามารถเปิดใช้งานได้
ดังนั้นการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศนักเทรดจำเป็นต้องเตรียมเงินเริ่มต้นไว้ที่ 500,000 -2,000,000 บาทตามเงื่อนไขของโบรกเกอร์ที่ให้บริการ
เมื่อผ่านเงื่อนไขการเปิดบัญชีมาได้แล้ว สำหรับนักเทรดก็สามารถเริ่มซื้อขายได้ ซึ่งแม้การเปิดบัญชีอย่าง Cash Balance จะไม่ได้มีกำหนดเงินลงทุนตั้งต้นไว้ ก็ยังจำเป็นต้องคำนึงถึงเงื่อนไขการซื้อขายหุ้นในกระดานหลักที่มีขั้นต่ำในการซื้อขาย 100 หุ้นต่อการเทรด
ดังนั้น หากราคาหุ้นที่ต้องการซื้อมีราคาแพง เช่น 500 บาทต่อหุ้น นักเทรดก็จำเป็นต้องเตรียมเงินลงทุนขั้นต่ำ 50,000 บาท สำหรับการซื้อขาย ยังไม่รวมค่าคอมมิสชั่น
สำหรับค่าคอมมิสชั่นมาตรฐานสำหรับโบรกเกอร์ทั่วไปที่ส่งคำสั่งผ่านเจ้าหน้าที่ นักเทรดจำเป็นต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีก 0.287% ของมูลค่าซื้อขาย นั่นคือหากมีมูลค่าการซื้อในวันอย่างเดียวที่ 50,000 บาท นักเทรดจำเป็นต้องจ่ายเพิ่มอีก 139 บาทสำหรับค่าคอมมิสชั่น รวมเป็นเงินที่ต้องเตรียมทั้งหมด 50,139 บาท
ดังนั้นการเล่นหุ้นเริ่มต้นกี่บาทในกรณีนี้จึงไม่มีขั้นต่ำ แต่ขึ้นอยู่กับราคาหุ้นที่นักเทรดสนใจคูณด้วยจำนวนขั้นต่ำคือ 100 หุ้น บวกด้วยค่าคอมมิสชั่น ซึ่งเป็นต้นทุนอีกตัวหนึ่งที่นักเทรดต้องจ่าย
จริงอยู่ที่การลงทุนในหุ้นเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุน แต่ในปัจจุบันเพียงแค่หุ้นตัวเดียว เราสามารถใช้เครื่องมือที่อ้างอิงกับราคาหุ้นเพื่อทำกำไรจากราคาหุ้นตัวเดียวกันได้หลายวิธี เช่น การใช้ DW การใช้ CFD
CFD คือ สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Contract for Difference) ที่เป็นตราสารอนุพันธ์รูปแบบหนึ่ง นั่นคือแม้นักเทรดจะไม่ได้ซื้อขายหรือเป็นเจ้าของหุ้นอยู่จริง ๆ แต่ก็สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นตัวเดียวกันนั้นได้
สัญญาชนิดนี้จะอนุญาตให้นักเทรดวางเงินทุนตั้งต้นเพียงบางส่วนของมูลค่าสัญญา และใช้ความได้เปรียบจากอัตราทด(Leverage) ในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ดังนั้นแม้จะเป็นเงินลงทุนเพียงไม่มาก ก็สามารถทำกำไรได้ไม่ต่างจากการซื้อหุ้นแบบลงเงินเต็มจำนวนเลย
ดังนั้นการใช้เครื่องมือทางอนุพันธ์อย่าง CFD จึงเป็นทางเลือกที่ทำให้นักลงทุนสามารถใช้เงินเริ่มต้นในการเทรดหุ้นไม่มาก โดยไม่สูญเสียโอกาสในการทำกำไรไป ในอีกด้านหนึ่งก็มีต้นทุนจากค่าสเปรดที่ต่ำ และไม่มีค่าคอมมิสชั่นแอบแฝงอื่น ๆ
ตัวอย่างการเทรดหุ้น PFE หรือ Pfizer กับโบรกเกอร์ CFD - MiTrade ที่ราคา $35.47 ดอลล่าร์ด้วยอัตราทด 10 เท่า และเงื่อนไขการเทรดขั้นต่ำ 15 lot หากนักเทรดมองว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้น ก็เพียงแค่วางเงินลงทุนตั้งต้น $53.2[=($35.47*15 lot)/10] หรือราว 1,600 บาท แล้วรอให้ราคาปรับตัวขึ้นไป และหากราคาปรับตัวขึ้นจนถึงจุดที่วางแผนไว้ เช่น $39 นักเทรดจะสามารถทำกำไรได้ $53.0[=($39-35.47)*15] จากการลงทุนในครั้งนี้ หรือคิดเป็น 100% ของเงินต้นทีเดียว
ในทางกลับกัน หากมองว่าราคา Pfizer จะปรับตัวลง นักเทรดก็สามารถคาดหวังผลกำไรได้จากการเปิดสัญญา Short โดยวางเงินลงทุนตั้งต้นเพียง $53.2 หรือราว 1,600 บาท และคาดหวังผลกำไรได้ในลักษณะเดียวกัน
『 ค่าธรรมเนียม 0 สเปรดต่ำ เลเวอเรจสูง 』
『 ฟรีเงินเสมือนจริง 50, 000 USD 』
『 ฟรีเครื่องมือการจัดการความเสี่ยง 』
ดังนี้เราจะเห็นได้ว่าการลงทุนแบบซื้อขายหุ้นในตลาดนั้นเหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถเตรียมเงินตั้งต้นเป็นจำนวนมาก และคาดหวังผลกำไรเฉลี่ยบนค่าตอบแทนของตลาดหุ้นที่ราว 10% ต่อปี ก็สามารถทำเงินได้เป็นจำนวนมาก แต่หากนักเทรดที่มีทุนทรัพย์น้อย การนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นที่มีเงื่อนไขการลงทุนขั้นต่ำและค่าคอมมิสชั่นสูง จะทำให้ปัญหาเรื่องเงินทุนตั้งต้นกลายเป็นจุดอ่อนของการลงทุนจนไม่สามารถทำกำไรได้
สำหรับคำถามที่ว่าการลงทุนเริ่มต้นกี่บาทอาจมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับการลงทุนด้วยเงินทุนตั้งต้นน้อย การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม เช่น CFD ที่ให้นักลงทุนวางเงินเพียงบางส่วน และใช้ประโยชน์จากอัตราทดจึงเป็นทางเลือกที่ดีและได้เปรียบมากกว่าด้วยค่าสเปรดที่ต่ำ ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า
ทั้งนี้การลงทุนใน CFD ก็เป็นวิธีการที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนที่สนใจจึงควรศึกษาเงื่อนไข และสภาพตลาดให้ดีก่อนเริ่มลงทุนทุกครั้ง
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง: การซื้อขายอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมด การซื้อขายอนุพันธ์แบบ OTC อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดพิจารณาเอกสาร PDS, FSG, คำชี้แจงการเปิดเผยความเสี่ยงและข้อตกลงลูกค้าก่อนใช้บริการของเรา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดทราบว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ในสินทรัพย์อ้างอิง