การซื้อหุ้นต่างประเทศ สำหรับมือใหม่ อาจฟังดูแล้วน่ากลัว ประเดี๋ยวก่อน ลองติดตามไปด้วยกัน บางทีเมื่ออ่านบนความนี้จบ คุณอาจรีบเปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศมันซะวันนี้ แล้วรีบโยกเงินไปลงทุนหุ้นต่างประเทศในทันที คุณพร้อมแล้วรึยังสำหรับการเดินทางบนประสบการณ์ใหม่ ที่มีโอกาสทำให้คุณมีรายได้เป็นกอบเป็นกำอย่างที่ได้แจ้งไป เพียงแค่คุณศึกษา ใส่ใจ และมีข้อมูลเพียงพอ การเล่นหุ้นต่างประเทศ จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ปัจจุบันนี้ วิธีการซื้อหุ้นต่างประเทศที่ได้รับความนิยมและมีความยืดหยุ่นมากคือ การเทรดหุ้นต่างประเทศผ่านโบรกเกอร์ CFD ซึ่ง CFD ย่อมาจาก Contract for Difference (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง)
การเทรดหุ้นต่างประเทศด้วย CFD นักลงทุนสามารถเทรดได้และมีโอกาสทำกำไรได้จากความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นโดยไม่ต้องการเป็นเจ้าของของบริษัทนั้น และยังได้สร้างความได้เปรียบให้กับนักลงทุนในหลายด้าน อย่างทำการเทรดกับโบรกเกอร์ Mitrade จะมีข้อดีดังนี้
● ใช้เงินขั้นต่ำในการซื้อหุ้นน้อยมาก ตัวอย่างเช่น การเปิดคำสั่งซื้อหุ้น Apple(AAPL) กับแพลตฟอร์มการเทรด Mitrade ขั้นต่ำเพียงราวๆ $8 ดอลล่าร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 23/2/2022)
ที่สามารถใช้เงินน้อยแบบนี้ก็เพราะว่าการเทรด CFD สามารถด้วยอัตราทด(เลเวอเรจ) ทำให้เทรดเดอร์สามารถวางเงินมาร์จิ้นเพียงจำนวนหนึ่งแต่ก็ยังจะได้รับผลตอบแทนเท่ากับการซื้อขายหุ้นนั้นเต็มจำนวน เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจถึงความได้เปรียบเลเวอเรจให้มากขึ้น ผู้เขียนได้ทำการเปรียบเทียบการเทรดแบบไม่มีเลเวอเรจและการเทรดแบบมีเลเวอเรจดังตารางด้านล่าง:
รายการ | เทรดแบบไม่มีเลเวอเรจ | เทรดแบบมีเลเวอเรจ |
ค่าเลเวอเรจ | 1:1 | 1:20 |
ราคาเปิด | 160 USD | 160 USD |
ราคาปิด | 200 USD | 200 USD |
ปริมาณการซื้อขาย | 1 ล็อต | 1 ล็อต |
เงินต้น | 160 USD | 8 USD |
กำไรที่ได้(ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น) | 40 USD | 40 USD |
อัตราผลตอบแทน | 25% | 500% |
Mitrade เสนอค่าเลเวอเรจที่ 1/2/5/10/20 เท่า นังลงทุนสามารถปรับค่าเลเวอเรจได้ตามความต้องการและระดับความเสี่ยงที่แบกรับได้ของตน ซึ่งโบรกน้อยรายที่ได้เสนอตัวเลือกนี้ไว้ให้ หรือสำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการใช้เลเวอเรจก็ปรับเป็น 1 เท่าได้เลย
● มีความยืดหยุดในการเทรดทั้งขาขึ้นและขาลง นักลงทุนสามารถทำการเทรดในขาลง(short-selling) อย่างง่ายมาก ทำให้นักลงทุนสามารถคว้าโอกาสในการเทรดในทุกสถานการณ์ได้
● มีสภาพคล่องสูง โบรกเกอร์ CFD เป็นตัวกลางที่นำเสนอความสภาพคล่องให้กับนักลงทุนรายย่อย จึงทำให้การจับคู่ได้ง่ายกว่า แพลตฟอร์มการเทรด Mitrade จะการันตีจับคู่ได้เป็น 100% สำหรับ Market order และมีการดีเลย์ต่ำมากซึ่งจะเป็นแบบ T+0 คือซื้อ(ขาย)แล้วขาย(ซื้อ)ได้ทันทีและผลกำไร(ผลขาดทุน)จะเข้า(หัก)ในบัญชีทันทีเลยทีเดียว
● สามารถเข้าไปเทรดในหลาย ๆ หุ้นเด่นและดัชนีหุ้นของโลก อาทิ เช่นหุ้น Alphabet (GOOGL), Apple(AAPL), Alibaba(BABA), Amazon(AMZN), Adobe(ADBE), Tesla(TSLA), PayPal(PYPL), Microsoft(MSFT) เป็นต้น (เช็คเช็คหุ้น 350 กว่าตัวที่สามารถเทรดกับ MiTrade ได้ที่นี่) ดัชนีหุ้นเช่น ดัชนี S&P 500, Dow Jones, NASDAQ 100, Nikkei 225, Hang Seng, FTSE 100, Dax 30 (เช็คดัชนีหุ้น 11 ตัวที่สามารถเทรดกับ MiTrade ได้ที่นี่) นอกจากหุ้นและดัชนีแล้ว การเปิดบัญชีเดียวยังเทรดได้สินทรัพย์หลากหลาย เช่น ทองคำ คู่เงิน ฯลฯ
นอกจากการเทรดหุ้นต่างประเทศด้วยโบรกเกอร์ CFD แล้ว ยังมีอีกสองวิธีที่สามารถซื้อหุ้นต่างประเทศได้ ผู้เขียนก็จะแนะนำทั้งข้อดีและข้อเสียของทุกวิธีด้วย ตามมาดูต่อกัน
1. ซื้อกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ (Mutual Fund) ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนต่างประเทศ
วิธีนี้เป็นวิธีง่ายที่สุด สำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยลงทุนอะไรเลย จะใช้กองทุนรวมมาช่วยโอกาสในการลงทุนทั้งต่างประเทศ และในประเทศ เพียงแค่เรา เลือกนโยบายกองทุน เช่น กองทุนรวมมีนโยบายลงทุนในหุ้นอเมริกา, กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นจีน และ กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นทั่วโลก เป็นต้น ซึ่งกองทุนรวมจะไปลงทุนกองต่างประเทศ (Feeder Fund) ผ่านบริษัทจัดการกองทุนรวมชั้นนำอีกที หรือบางค่ายอาจจะมีทีมบริหารจัดการกองทุนเลือกหุ้นมาเอง ซึ่งเราสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังสือชี้ชวนกองทุนรวม (Fund Fact Sheet) ว่ากองทุนรวมเรานั้นลงทุนอะไรบ้าง 10 ตัวแรก (Top 10 Holding) รวมไปถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงย้อนหลังที่ผ่านมา และค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายกองทุนรวม
เดี๋ยวนี้การซื้อกองทุนรวมก็ง่ายผ่านแอปธนาคารที่ใช้เป็นประจำ หรือธนาคารสาขาใกล้บ้าน และผ่านโบรกเกอร์กองทุนรวมชั้นนำต่างๆ เช่น Finnomena, Phillip Yuanta และ Nomura
เราขอสรุปขอดีในการซื้อกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศไว้ดังนี้
● สามารถเข้าถึงได้ง่าย
● เงินขั้นต่ำน้อย
● มีความเสี่ยงต่ำกว่าการซื้อหุ้นรายตัว
อย่างไรก็ตาม การกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศมีข้อเสียตรงที่
● มีค่าธรรมเนียม (Fees) และค่าใช้จ่าย (Expenses) ที่ไม่น้อย
● ไม่เหมาะกับนักลงทุนสไตล์ระยะสั้น
● มีสภาพคล่องน้อยกว่า
● ไม่สามารถซื้อหุ้นรายตัวได้
2. ETF (Exchange Traded Fund) ลงทุนผ่าน ETF ในดัชนีหรือเทรนด์ที่เราสนใจ
ETF ย่อมาจาก Exchange Traded Fund เป็นกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ มีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีหรือราคาของสินทรัพย์ที่กองทุนใช้อ้างอิง ผู้ลงทุนสามารถซื้อขาย ETF ได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง เช่น เลือกลงทุน ETF ที่ลงทุนในจีนในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง สำหรับเทรดหุ้นในไทย ชื่อ CHINA จะอ้างอิงกับดัชนีหุ้นจีน 300 ตัว (CSI300)
สำหรับการลงทุน ETF ก็ผ่านบริษัททรัพย์ที่จดทะเบียนไทย เช่น บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า โนมูระ เมย์แบงค์ ภัทร ธนาคารต่างๆ เป็นต้น หรือแพลต์ฟอร์มการเงินที่เปิดให้บริการในไทยอย่าง Jitta Wealth และ Dime
● ข้อดี
การลงทุนตามดัชนีหรือตามเทรนด์ที่เราสนใจ จะมี ETF ที่อ้างอิงกับดัชนีต่างๆ ทุกสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นโลก หุ้นจีน หุ้นอเมริกา ทองคำ น้ำมัน
3. หุ้น Stock ลงทุนผ่านหุ้นรายตัวที่เราสนใจ
วิธีนี้เป็นการลงทุนหุ้นเหมือนการลงทุนในหุ้นไทยปกติ ได้รับผลตอบแทนในส่วนต่างราคาและเงินปันผล เช่นเดียวหุ้นไทย เพียงแต่ไปพอร์ตหุ้นเพิ่มเติมตามบริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้บริการอยู่ และบริษัทหลักทรัพย์ต้องมีส่วนของบริการหุ้นต่างประเทศด้วย
ในไทยตัวอย่างเช่นบริษัทหลักทรัพย์ของ Yuanta, Nomura, Phiilip และอื่นๆ สามารถซื้อขายบนเว็บไซต์ หรือแพลตฟอร์มของบริษัทหลักทรัพย์ที่เราไปเปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศ
ข้อดี
● สามารถลงทุนผ่านหุ้นรายตัวที่เราสนใจ
● ทางบริษัทหลักทรัพย์เหล่านั้นจะมีหุ้นต่างประเทศตามบทวิเคราะห์คอยอัปเดทให้พร้อมเหตุผล
ข้อเสีย
● ใช้เงินต่ำสูง ส่วนใหญ่อาจใช้เงินขึ้นต่ำตั้งแต่ 50,000 ไปจนถึง 500,000 บาท
● ต้องโอนเงินสกุลประเทศนั้นๆ เพื่อลงทุน เช่น ดอลล่า หรือ หยวน และมีค่าธรรมเนียมในการโอนต่างประเทศและโอนกลับ
● จำนวนหุ้นที่ซื้อได้ต้องขึ้นอยู่กับบริษัทหลักทรัพย์ให้บริการ
● เวลาเปิด ปิด ซื้อขายของหุ้นอาจไม่เหมือนตลาดหุ้นไทย
4. ลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund)
วิธีนี้เหมาะกับนักลงทุนที่คนมีเงินค่อนข้างมากระดับ 1 ล้านไปจนถึง 10 ล้านขึ้นไป อยากลงทุนต่างประเทศแต่ไม่อยากลงทุนเอง และไม่อยากลงทุนผ่านกองทุนรวมทั่วไป อยากใช้ผู้จัดการกองทุนที่มีความเฉพาะทางมากขึ้น และมีกลยุทธ์การลงทุนเหมาะสมกับนักลงทุน
ทุกบริษัทหลักทรัพย์จะมีฝ่ายกองทุนส่วนบุคคล แต่ขึ้นอยู่ว่าบริษัทหลักทรัพย์นั้นๆ มีนโยบายลงทุนต่างประเทศที่ไหนบ้าง เช่น กองทุนส่วนบุคคลลงทุนในหุ้นโลก กองทุนส่วนบุคคลลงทุนในหุ้นเวียดนาม กองทุนส่วนบุคคลลงทุนในหุ้นอเมริกา หรือ กองทุนรวมส่วนบุคคลที่เน้นลงทุนแบบผสมทั้งหุ้นและตราสารหนี้ เป็นต้น
แต่ลงทุนใน Private Fund ก็มีข้อจำกัดที่ผลกำไรต้อง Sharing ไปให้กลับบริษัทจัดการกองทุนรวม ส่วนใหญ่กองทุนส่วนบุคคลจะตั้งเป้าหมายกำไรไว้ เช่น ต่อปี 6 % ส่วนที่เกิน 6% ของแบ่งกำไร 20% จากผลกำไร แต่ถ้าบริหารขาดทุนก็จะไม่เก็บค่าส่วน Sharing กำไร
ข้อดี
● การเลือกกลยุทธ์กองทุนส่วนบุคคลให้เหมาะกับมุมมองการลงทุนที่เราสนใจ
ข้อเสีย
● ต้อง Sharing ผลกำไรให้กลับบริษัทจัดการกองทุนรวม
ตอนนี้เรามาถึงช่วงครึงหลังของปี 2022 แล้ว และประสิทธิภาพของตลาดการเงินแตกต่างไปจากที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดไว้มาก และนั่นหมายความว่า แต่เมื่อมองไปในครึงหลังของปี 2022 สถานการณ์เหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
วันนี้ เรามาดูหุ้น 5 ตัวที่น่าสนใจและอาจจะมีประสิทธิภาพที่ดีในช่วงครึ่งหลังของปี 2022 กัน
1. Amazon (NASDAQ: AMZN)
อเมซอน(Amazon) เป็นผู้นำในตลาดอีคอมเมิร์ซในสหรัฐอเมริกา และแพลตฟอร์มคลาวด์ของ Amazon Web Services ก็เป็นผู้นำตลาดเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม Amazon ยังมีศักยภาพในการเติบโตมากกว่าที่คุณคิด ปัจจุบันนี้ Amazon ยังคงมีสัดส่วนน้อยกว่า 15% ของยอดขายปลีกทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมคลาวด์ยังค่อนข้างใหม่เช่นกัน อเมซอนยังมีศักยภาพในด้านอื่นๆ เช่น การดูแลสุขภาพ ร้านขายของชำ ตลาดในละแวกใกล้เคียง และอื่นๆ
2. Berkshire Hathaway (NYSE: BRK.A) (NYSE: BRK.B)
Berkshire Hathaway เป็นเจ้าของกลุ่มธุรกิจย่อยประมาณ 60 แห่ง รวมถึงธุรกิจที่มีชื่อในครัวเรือน เช่น GEICO, Duracell และ Dairy Queen เป็นต้น เบิร์กเชียร์ยังเป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นสามัญมูลค่าเกือบ 350 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ใน Apple (NASDAQ:AAPL), Bank of America (NYSE:BAC), Chevron (NYSE:CVX), American Express (NYSE:AXP) และ Coca -Cola (NYSE:KO) ซึ่งหลายแห่งได้รับการคัดเลือกจากนักลงทุนในตำนานอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เอง
หุ้น Berkshire Hathaway ลดลงมากกว่า 10% ตั้งแต่ต้นปีและมากกว่า 2% จากปีที่แล้ว อย่างเราก็ตาม Berkshire ยังคงสร้างผลตอบแทนที่เอาชนะตลาดได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Seeking Alpha ตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทมีเงินสดที่สามารถใช้เพื่อเข้าซื้อหุ้นที่เติบโตและซื้อหุ้นคืนเพิ่มได้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาแพงของหุ้น Berkshire Hathaway นักลงทุนส่วนใหญ่จะต้องซื้อหุ้นเศษส่วนของหุ้นประมาณ 400,000 ดอลลาร์หรือซื้อหุ้นคลาส B ที่มีราคาต่ำกว่า
3. Walt Disney (NYSE: DIS)
การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจสวนสนุกและภาพยนตร์ของดิสนีย์ (Disney) แต่ช่วยบริการสตรีมมิ่ง Disney+ ซึ่งเติบโตเป็นโรงไฟฟ้าเร็วกว่าที่ดิสนีย์คาดไว้หลายปี
ในปี 2022 ความต้องการสวนสนุกและภาพยนตร์ของดิสนีย์กำลังกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม Disney+ ประสบความสำเร็จอย่างมาก บริษัทกำลังมุ่งเน้นไปที่การขยายธุรกิจสวนสนุกและภาพยนตร์และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Hulu และ ESPN+
ทรัพย์สินทางปัญญาที่มีเสถียรภาพอย่างน่าทึ่ง (Marvel/Star Wars/ESPN/Pixar/Disney) และเครื่องกดเงินสดธุรกิจสวนสนุกทำให้มีขอบด้านความปลอดภัยที่ทำให้อาจเป็นหุ้นที่ปลอดภัยอย่างสูง และยังคงมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมากในขณะที่ธุรกิจใหม่ๆ มีวิวัฒนาการ
4. Nvidia (NASDAQ: NVDA)
Pat Gelsinger ซีอีโอของ Intel (INTC) กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่าเขาคาดว่าปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์จะคงอยู่ต่อไปในปี 2024
ความคับคั่งในตลาดชิปเป็นสาเหตุหลักของความไม่พอใจสำหรับผู้ผลิตทุกอย่างตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงเครื่องใช้ในบ้าน แต่ก็ยังเป็นโอกาสสำหรับผู้ผลิตชิปชั้นนำอย่าง Nvidia (NVDA) เพื่อเพิ่มผลผลิตและใช้ประโยชน์จากราคาที่แข็งแกร่ง เนื่องจากชิปดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อแนวโน้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในด้านการประมวลผลในปัจจุบัน รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ การขับขี่อัตโนมัติ และการประมวลผลแบบคลาวด์
เราอาจเห็นภาวะถดถอยหรืออาจจะไม่ในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่ผลักดันการเติบโตของ Nvidia จะยังคงมั่นคง อันที่จริง การลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์และคลาวด์คอมพิวติ้งอาจเร่งตัวขึ้นในภาวะถดถอยเพื่อลดต้นทุนแรงงาน
Nvidia ทำกำไรได้อย่างมหาศาลสำหรับบริษัทฮาร์ดแวร์ โดย RoE อยู่ที่ 42% ในปีที่ผ่านมาและอัตรากำไรสุทธิ 32%
ราคาหุ้นของ Nvidia (NVDA) ได้ลดลงมากกว่าครึ่งตั้งแต่ปลายปี 2564 และไม่รู้เลือดจะหยุดไหลเมื่อใด แต่ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้นอย่างนี้ เราคาดหวังให้ Nvidia แกว่งตัวกลับมาและกลายเป็นหนึ่งในหุ้นที่ดีที่สุดที่จะซื้อในช่วงที่เหลือของปี 2022
5. Shopify (NYSE: SHOP)
Shopify เป็นแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถขายสินค้าของตนทางออนไลน์ โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจขนาดเล็กโดยเฉพาะ Shopify เสนอแผนการสมัครสมาชิกเริ่มต้นที่ $29 ต่อเดือนสำหรับธุรกิจ และยังมีบริการที่อยู่ติดกันอีกมากมายที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น
วิธีการ "ร้านค้าครบวงจร" ของ Shopify เพื่อเปิดใช้งานอีคอมเมิร์ซได้เปลี่ยนให้กลายเป็นโรงไฟฟ้า ตอนนี้มียอดขายอีคอมเมิร์ซไหลผ่านระบบนิเวศมากกว่าบริษัทอื่นนอกเหนือจาก Amazon อย่างไรก็ตาม Shopify อาจเพิ่งเริ่มต้น แพลตฟอร์ม Shopify สร้างรายได้ 4.8 พันล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา แต่นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของโอกาสทางการตลาดที่สามารถระบุได้ประมาณ 153 พันล้านดอลลาร์ (และกำลังเติบโต) เนื่องจากผู้ค้าปลีกจำนวนมากขึ้นเปลี่ยนโฟกัสไปที่การขายออนไลน์
ตลาดหุ้นอยู่ในวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และผู้ที่ต้องการลงทุนจำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับการขึ้น ๆ ลง ๆ บ่อยครั้ง เมื่อต้องการลงทุนในหุ้นใหม่และกระจายพอร์ตการลงทุนของคุณ ให้ทำการค้นคว้าและประเมินด้วยตนเอง คำแนะนำข้างต้นมีขึ้นเพื่อให้คุณเข้าใจถึงตัวเลือกที่ดีในตลาดหุ้นในปัจจุบัน โปรดทราบว่าเงื่อนไขเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา
สำหรับการซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินในสหรัฐฯ นั้นมีถึง 3 ตลาดหลักที่สำคัญ และแต่ละตลาดก็มีจุดเด่นของผลิตภัฑณ์ที่เปิดให้มีการซื้อขายแตกต่างกันไป ได้แก่
1.ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค (New York Stock Exchange – NYSE)
ตั้งอยู่บนถนนวอลล์สตรีททำให้มักถูกเรียกเป็นเชิงเปรียบเทียบด้วยชื่อถนนนี้ ที่นี่ที่มีฟลอร์สำหรับการซื้อขายโดยจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเทรดประจำอยู่ และมีการซื้อขายหุ้นที่มีเงื่อนไขการรับเข้าสูง ที่รู้จักกันดีเช่น Boeing, Exxon, GM, Walmart, Berkshire Hathaway B ฯลฯ ซึ่งนอกจากหุ้นที่เรารู้จักกันดีแล้วก็ยังมีการซื้อขาย ETF กันในตลาดแห่งนี้ด้วย
2. ตลาดแนสแด็ก (National Association of Securities Dealers Automated Quotation System – Nasdaq)
เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของสหรัฐที่มีการซื้อขายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เดิมทีเป็นตลาดที่ลิสต์บริษัทขนาดเล็กที่ไม่เข้าเกณฑ์การซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์คซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่ในสมัยนั้นยังมีมูลค่าไม่มาก ทำให้ถัดมาเมื่อการเติบโตทางเทคโนโลยีสูงขึ้น ตลาดแนสแด็กจึงกลายมาเป็นที่สนใจและมีมูลค่าซื้อขายสูงนำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่โลกรู้จักดีอย่าง Microsoft, Apple, Google
3. ตลาดหลักทรัพย์อเมริกัน (American Stock Exchange - AMEX)
ตลาดหลักทรัพย์อเมริกันเรียกกันสั้นๆ ว่า "ASE" หรือ "AMEX" เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองในสหรัฐอเมริการองจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและตลาดหุ้นแนสแด็ก ตลาดหลักทรัพย์อเมริกันเป็นเพียงตลาดหลักทรัพย์เดียวที่สามารถซื้อขายหุ้น ออปชั่น และอนุพันธ์ได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังเป็นเพียงตลาดหลักทรัพย์เดียวที่มุ่งเน้นไปที่ บริษัท ขนาดเล็กและขนาดกลาง
ตลาดหุ้นสหรัฐจะมีเวลาเปิดทำการเริ่มจาก
6.30 a.m. -7.00 a.m. (GMT-5) เป็นช่วง Pre-Opening ที่สามารถเริ่มส่งคำสั่งเข้าสู่ตลาดได้ แต่ยังไม่มีการจับคู่และยืนยัน
7.00 a.m. - 9.30 a.m (GMT-5) เป็นช่วง Early Trading ที่ตลาดเริ่มเปิดให้มีการเคลียร์คำสั่งที่ค้างมาจากการส่งในช่วงก่อนหน้า และเริ่มสามารถส่งคำสั่งซื้อขายแบบเรียลไทม์ได้ ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นสหรัฐมีปริมาณการซื้อขายและความผันผวนสูงที่สุดของวัน
9.30 a.m. - 4.00 p.m. (GMT-5) เป็นช่วง Core Trading เป็นเวลาการซื้อขายหลัก
4.00 p.m. - 8.00 p.m. (GMT-5) เป็นช่วง Late Trading
ทั้งนี้เราจะพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะไม่มีการพักเทรด แต่เป็นการเทรดแบบต่อเนื่องไปจนปิดตลาดตอนสิ้นวัน
ทั้งนี้เวลาเปิดทำการของตลาดหุ้นสหรัฐที่เป็นเวลาท้องถิ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากในช่วงฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นช้ากว่าช่วงเวลาในฤดูร้อน ทำให้ประเทศในกลุ่มยุโรปและอเมริกามีการปรับเวลาให้ช้าลงและตลาดหุ้นสหรัฐก็จะเปิดทำการช้ากว่าปกติ 1 ชั่วโมง ซึ่งเรามีข้อสังเกตดังนี้
ในฤดูร้อน ที่เริ่มตั้งแต่ช่วงมีนา-เมษาของแต่ละปี ในฤดูหนาว ที่มักจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนตุลา-พฤศจิกา ตลาดหุ้นสหรัฐจะมีการปรับเวลาให้ช้าลง 1 ชั่วโมง
ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ในการพากันข้ามฟ้าหาการลงุทนใหม่ในตลาดการลงทุนระหว่างประเทศ การซื้อหุ้นต่างประเทศ คือคำตอบที่จะพาเราไปสู่การลงทุนในต่างประเทศได้เร็วที่สุด การลงทุน เล่นหุ้นต่างประเทศคือโอกาสใหม่ที่จะพาเราเติบโตในแวดวงการลงทุน ขอต้อนรับทุกท่านสู่โลกการลงทุนระดับโลก ผ่านการซื้อขายหุ้นในตลาดต่างประเทศครับ
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง: การซื้อขายอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมด การซื้อขายอนุพันธ์แบบ OTC อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดพิจารณาเอกสาร PDS, FSG, คำชี้แจงการเปิดเผยความเสี่ยงและข้อตกลงลูกค้าก่อนใช้บริการของเรา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดทราบว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ในสินทรัพย์อ้างอิง