จนถึงวันนี้คงไม่มีใครปฏิเสธอีกแล้วว่าสังคมดิจิตอลและ Internet of things กำลังจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ในอนาคตอันใกล้ และที่หลีกหนีไม่ได้เลยก็คงไม่พ้นสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) รวมถึงการเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิตอล ซึ่งจะกลายมาเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่เล็งเห็นโอกาสและมีการเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง
เพื่อต้อนรับอนาคตของเงินสกุลดิจิตอลที่กำลังมาถึง คราวนี้เราจึงจะพานักลงทุนไปมองหาโอกาสและทำความรู้จักกับสกุลเงินดิจิตอลยอดฮิตอย่าง Bitcoin รวมถึงวิธีเทรด Bitcoin อันจะเป็นหนทางทำกำไรจากสินทรัพย์แห่งอนาคตตัวนี้กัน!
Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิตอลที่ไม่ได้มีเหรียญหรือธนบัตรให้จับต้องได้ แต่จะมีการเก็บรักษาเป็นข้อมูลดิจิตอลในกระเป๋าเงินที่เรียกว่า Bitcoin wallet สกุลเงินนี้ไม่มีเจ้าของ ไม่มีรัฐบาลที่ไหนคอยดูแล และกระทั่งว่าไม่มีธนาคารกลางเป็นคนพิมพ์หรือผลิตมันออกมา แต่ Bitcoin ถูกผลิตขึ้นจากคนในสังคม Bitcoin (Bitcoin Community) ที่ช่วยกันผลิตเหรียญออกมา ช่วยกันรักษาตรวจสอบธุรกรรมกันเองภายใน
สกุลเงินนี้มีความน่าสนใจต่อทั้งผู้ใช้และผู้ลงทุนมีจุดเด่นหลัก ๆ อยู่ 2 ด้าน คือ
-Bitcoin เป็นสกุลเงินที่นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ ทำให้เป็นสินทรัพย์ที่สังคมผู้ใช้ Bitcoin ทั้งหมดเป็นเจ้าของร่วมกัน ไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจรัฐ โปร่งใส ตรวจสอบได้ง่าย และแฮ็กได้ยาก
-Bitcoin เป็นสกุลเงินที่มีปริมาณเงิน (Money Suply) อยู่อย่างจำกัด ด้วยระบบ Bitcoin Halving ทำให้การขุดหรือผลิตเหรียญ Bitcoin ใหม่ ๆ ขึ้นมาทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา และในปี ค.ศ. 2140 นักลงทุนก็จะไม่สามารถผลิตหรือขุด Bitcoin ขึ้นมาได้อีก และทั่วโลกจะมี Bitcoin ในปริมาณที่เสถียรที่ 21 ล้านเหรียญ Bitcoin จึงเป็นสกุลเงินที่มีปริมาณเงิน หรือ Money Supply อยู่อย่างจำกัด จนทำให้การเกิดปัญหาเงินเฟ้อเป็นเรื่องยาก
Bitcoin เป็นสกุลเงินดิจิตอลสกุลแรก ๆ ที่เริ่มนำมาใช้ได้จริงแล้วในโลกปัจจุบัน ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลญี่ปุ่น รวมถึงบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟต์และบริษัทเกมต่าง ๆ ทำให้ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่มีมูลค่าขึ้นมาได้แม้ในโลก offline
ด้วยความเสถียรของระบบที่ออกแบบมาอย่างดี รวมถึงมูลค่าของ Bitcoin ที่เริ่มนำมาใช้ได้จริงในปัจจุบันแม้ในโลก Offline ทำให้ Bitcoin กลายมาเป็นสกุลเงินหนึ่งที่น่าสนใจและชวนให้มองเห็นถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับสกุลเงินนี้ต่อไป
ราคาของ Bitcoin ขึ้นอยู่กับ Demandและ Supply แต่ Bitcoin ยังมีความพิเศษอยู่บ้างคือมีลักษณะเป็นสกุลเงินอีกด้วย ทำให้ปัจจัยที่มีผลต่อราคา Bitcoin ได้แก่
1. ความเชื่อมั่น Bitcoin มีฐานะเป็นสกุลเงินและมีธรรมชาติเหมือนกับสกุลเงินอื่น ๆ คือไม่ได้มีค่าในตัวเอง แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้ใช้ทำให้เชื่อว่าสกุลเงินนั้น ๆ มีค่า ซึ่งปัจจุบันความเชื่อมั่นในสกุลเงิน Bitcoin ยังคลุมเครือ จึงกลายเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง (High Risk, High Return)
2. กฎระเบียบและทัศนคติของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ จะส่งผลต่อการยอมรับและทำให้ Bitcoin สามารถใช้และมีมูลค่าได้แม้ในโลก Offline ยิ่งการใช้ Bitcoin ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ มากขึ้นก็เป็นเหมือนการรับรองให้สกุลเงินนี้เข้ามามีบทบาทและสามารถใช้ได้ในโลก Offline และส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้นได้
3. ความแพร่หลายของการใช้ หรือความได้เปรียบด้านเครือข่ายผู้ใช้ เช่นเดียวกับสกุลเงินที่ใช้ในโลก Offline ยิ่งสกุลเงินหนึ่งๆ ได้รับการยอมรับและมีการใช้ได้แพร่หลายเท่าไหร่ ความต้องการใช้สกุลเงินนั้น ๆ ก็มีมากขึ้น หาก Bitcoin ได้รับการยอมรับและมีการใช้แพร่หลายเท่าไหร่ ก็ยิ่งสนับสนุนให้ราคา Bitcoin ปรับตัวขึ้นได้เท่านั้น
4. การเกิดขึ้นและความนิยมของสกุลเงินดิจิตอลที่เป็นคู่แข่ง เพราะความได้เปรียบด้านเครือข่ายผู้ใช้เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสนับสนุนราคา Bitcoin แต่การก้าวขึ้นมาแย่งส่วนแบ่งผู้ใช้จากสกุลเงินดิจิตอลอื่น ๆ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เครือข่ายผู้ใช้ Bitcoin ลดน้อยลง และทำให้ราคา Bitcoin ปรับตัวลดลง
5. สถานการณ์ทางการเมือง สกุลเงินที่เป็นคู่แข่งของ Bitcoin ไม่ได้มีเฉพาะสกุลเงินดิจิตอลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสกุลเงินในโลก Offline อย่างดอลลาร์และหยวนด้วย สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่มักมีผลให้นักลงทุนลดความเสี่ยงด้วยการหลีกเลี่ยงการถือครองสกุลเงินของประเทศคู่ขัดแย้ง ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ Bitcoin เป็นที่ต้องการมากขึ้น และทำให้ราคาปรับตัวขึ้นได้
ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่นักลงทุนควรจับตามอง เพราะการเปลี่ยนแปลงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อาจมีผลให้ราคาของ Bitcoin เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันการซื้อขาย Bitcoin เริ่มเป็นที่นิยมและมีสภาพคล่องมากขึ้นมาก สำหรับนักลงทุนที่สนใจ Bitcoin ก็สามารถเข้ามาแสวงหาโอกาสทำกำไรกับสินทรัพย์ตัวนี้ด้วยการเทรดได้ 2 วิธีคือ
1. ซื้อขายโดยตรง
เนื่องจาก Bitcoin สามารถโอนย้ายจากกระเป๋าหนึ่งสู่กระเป๋าหนึ่งได้ การซื้อขาย Bitcoin จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ โดยผู้ซื้อาจติดต่อผู้ขายที่มี Bitcoin เพื่อทำการซื้อขายโดยตรง หรือ ติดต่อซื้อขายผ่านทางออนไลน์ ซึ่งสองวิธีนี้เป็นวิธีที่ทำให้นักลงทุนได้ Bitcoin มาด้วยความรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลานั่งขุด Bitcoin เอง แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องคู่สัญญาที่อาจมีการโอนเงินไปแล้วแต่ไม่มีการโอน Bitcoin กลับมาให้ จึงเป็นปัญหาให้นักลงทุนต้องตรวจสอบคู่ค้าให้ดี
วิธีนี้ยังบังคับให้นักลงทุนจำเป็นต้องหา Bitcoin wallet มาใช้และทำการลงทะเบียนเข้ารหัสซึ่งจะมีความยุ่งยาก รวมทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะต้องดูแลความปลอดภัยของ wallet ไม่ให้โดนแฮ็กอีกด้วย
อีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ได้ Bitcoin มาเร็วขึ้นก็คือการซื้อขายผ่านเครื่อง BTM หรือ Bitcoin Teller Machines แต่วิธีนี้ก็ยังมีข้อจำกัดที่เครื่อง BTM ยังมีอยู่ไม่มาก และมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ค่อนข้างสูง จึงมีการใช้อยู่แค่ในวงจำกัดเท่านั้น
2. เทรดด้วย CFD (Contract For Difference)
ด้วยข้อจำกัดการซื้อขาย Bitcoin โดยตรงนั้น ทำให้เครื่องมืออย่าง สัญญาส่วนต่างราคาหรือ CFD (Contract for Difference) กลายมาเป็นที่นิยม
วิธีนี้นักลงทุนจะไม่ได้เป็นเจ้าของ Bitcoin โดยตรง แต่เป็นการทำสัญญาซื้อขายส่วนต่างราคาของ Bitcoin ทำให้แม้นักลงทุนจะไม่ได้เป็นเจ้าของ Bitcoin จริง ๆ แต่ก็ยังทำกำไรและแสวงหาโอกาสจากสินทรัพย์ตัวนี้ได้ และได้เปรียบที่สามารถทำการเทรดได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสนในการทำกำไรกับ Bitcoin และอาศัยประโยชน์จากอัตราทดหรือ leverage ทำให้การเข้าถึงง่าย-ใช้จำนวนเงินลงทุนที่น้อย ให้ความสามารถในการทำกำไรไม่ได้ลดลงตามเงินต้นลงไป ก็ทำให้เครื่องมือตัวนี้เป็นที่นิยมของนักลงทุนทั่วโลกได้ไม่ยาก
เพื่อจะให้นักลงทุนเข้าใจถึงเลเวอเรจ ผู้เขียนได้ทำการเปรียบเทียบการเทรดแบบไม่มีเลเวอเรจและการเทรดแบบมีเลเวอเรจในตารางด้านล่าง:
รายการ | เทรดแบบไม่มีเลเวอเรจ | เทรดแบบมีเลเวอเรจ |
เลเวอเรจ | 0 | 1:10 |
ราคาเปิด | 10,000 USD | 10,000 USD |
ราคาปิด | 11,000 USD | 11,000 USD |
ขนาดการซื้อขาย | 0.1 ล็อต | 0.1 ล็อต |
เงินทุนเริ่มต้น | 1000 USD | 100 USD |
กำไรที่ได้ | 100 USD | 100 USD |
อัตราผลตอบแทน | 10% | 100% |
ต่อไปผู้เขียนขอยกตัวอย่างในการเทรด Bitcoin CFD ให้นักลงทุนเข้าใจให้มากขึ้น
☆ ตัวอย่าง -หากคุณคาดว่าราคา Bitcoin จะเพิ่มขึ้น คุณเปิดสถานะซื้อ (long position) เมื่อราคา Bitcoin ได้เพิ่มขึ้นตามที่คุณคาดไว้ คุณปิดคำสั่งแล้วได้กำไร -หากคุณคาดว่าราคา Bitcoin จะลดลง คุณเปิดสถานะขาย (short position) เมื่อราคา Bitcoin ได้ลดลงตามที่คุณคาดไว้ คุณปิดคำสั่งแล้วได้กำไร -ด้วยการใช้เลเวอเรจ 1:10 คุณเพียงฝากมาร์จิ้น 100 USD ไว้ก็สามารถซื้อขายได้บิทคอยน์ 0.1 ล็อตที่มีมูลค่า 10000 USD ได้แล้วแทนที่จะต้องมีเงินเต็มจำนวน 10000 USD |
Bitcoin มีการเคลื่อนไหวของราคาผันผวนและรุนแรงมากไม่แพ้สินทรัพย์อย่างน้ำมันดิบและทองคำ ในปี 2017 ราคา Bitcoin ปรับตัวขึ้นจากราคาปิดปลายปี 2016 ที่ 966.6 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ ขึ้นมาทำจุดสูงสุดของปี 2017 ที่ราคา 19,891 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 20 เท่าภายในปีเดียว และปรับลงมาทำจุดต่ำสุดของปี 2018 ที่ราคา 3,219.2 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ คิดเป็นการปรับตัวลงถึงกว่า 80% ของราคาสูงสุดเลยทีเดียว
ด้วยความผันผวนของราคาแบบนี้ แม้จะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนแต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นความเสี่ยงต่อการลงทุน ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องมีการวางแผนที่ดีเพื่อจัดการกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
1. เลือกกรอบเวลาที่ใช้ (Timeframe) แม้ในสินทรัพย์ตัวเดียวกันแต่ต่างช่วงเวลา การเคลื่อนไหวของราคาก็แตกต่างกัน และนักลงทุนต้องใช้ความช้าเร็วในการกำหนดกลยุทธ์ต่างกัน นักลงทุนต้องกำหนดก่อนว่าจะลงทุนในระยะสั้น กลาง หรือยาว เพื่อใช้กำหนดกลยุทธ์ต่อไป
2. กำหนดกลยุทธ์จากแนวโน้ม “Trend is the KING” อย่างที่เคยมีผู้กล่าวไว้ว่าการกำหนดแนวโน้มตลาดคือหลักใหญ่ของการกำหนดกลยุทธ์ หากราคาเป็นแนวโน้มขาขึ้น นักลงทุนไม่ควร Short, และหากเป็นขาลง นักลงทุนก็ไม่ควรใช้กลยุทธ์ Long, แต่ถ้าหากไม่สามารถกำหนดแนวโน้มของตลาดได้ (Sideway/ Consolidated Market) การไม่มีสถานะในตลาดอาจเป็นความได้เปรียบกว่าการลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้
3. กำหนดจุดเข้าซื้อ (Entry Strategies) และจุดทำกำไร/ตัดขาดทุน (Exit Strategies) ขั้นตอนนี้ทำให้นักลงทุนประเมินได้ว่าหากสถานะนี้กำไรจะได้กำไรเท่าไหร่ และหากขาดทุนจะต้องขาดทุนเท่าไหร่ คุ้มหรือไม่กับการเปิดสถานะ ซึ่งสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Price Action, Indicators, หรือแม้แต่การนับคลื่นเพื่อช่วยในการตัดสินใจได้
4. ติดตามความเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin อย่างต่อเนื่อง เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ไม่คาดฝัน นักลงทุนอาจเลือกปิดสถานะเพื่อปิดความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
เมื่อเราทำความรู้จักกับสินทรัพย์อย่าง Bitcoin รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของ Bitcoin กันไปแล้ว คราวนี้เราจะมาลองวิเคราะห์แนวโน้มราคา Bitcoin ต่อจากนี้ และลองหากลยุทธ์ที่เหมาะกับการลงทุน Bitcoin ออนไลน์กันต่อไป
มองในกรอบใหญ่กราฟรายสัปดาห์จะพบว่าราคา Bitcoin ขึ้นไปทำ All time high ในช่วงปลายปี 2017 และปรับตัวลงมาทำจุดต่ำสุดของรอบ (Low) ไว้ที่ 3,154 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ เมื่อปลายปี 2018 จากนั้นก็เริ่มสร้างฐานและเดินหน้าทำจุดสูงใหม่ (High) และ จุดต่ำที่สูงขึ้น (Higher Low) จึงมีแนวโน้มมากว่าในภาพระยะรายสัปดาห์ Bitcoin กำลังเดินหน้าสร้างแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่อยู่ และหาก Bitcoin สามารถปรับตัวขึ้นทำจุดสูงที่สูงขึ้น (Higher High) ได้ ก็จะเป็นการคอนเฟิร์มขาขึ้นรอบใหม่อย่างเต็มตัว
มองในภาพที่เล็กลงในกราฟรายวัน ราคา Bitcoin ก็ยังเดินหน้าทำรูปแบบราคาขาขึ้นอยู่เช่นกัน ด้วยการทำจุดต่ำ (Low) ที่ 3,154 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ ขึ้นไปทำจุดสูง (High) ที่ 12,728 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ และทำจุดต่ำที่สูงขึ้น (Lower High) แล้วที่ 5,316 ดอลลาร์ต่อบิทคอยน์ ดังนั้นจุดต่ำที่เคยทำมาจะกลายเป็นแนวรับที่ดีสำหรับราคา Bitcoin และไม่ควรจะทำจุดต่ำสุดใหม่หากยังเป็นกราฟราคาขาขึ้นอยู่ โดยที่จุดสูงสุดเดิม (High) จะกลายเป็นแนวต้านที่จะต้องผ่านไปให้ได้ในที่สุด
โดยรวมกราฟราคาของ Bitcoin ในระยะกลางยังเป็นการฟอร์มตัวเพื่อทำรูปแบบขาขึ้นรอบใหม่อยู่ นักลงทุนที่แสวงหาโอกาสควรมองกลยุทธ์ในแนวโน้มขาขึ้น (Long) จะมีโอกาสชนะได้มากกว่า
*** ลงทุนมีความเสี่ยง ในการเทรด CFD ท่านไม่ได้เป็นเจ้าของของสินทรัพย์อ้างอิงใดๆ และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกท่าน ซึ่งอาจส่งผลให้ท่านสูญเสียเงินลงทุนขั้นต้น เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นท่านควรพิจารณา เอกสารเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ก่อนที่จะใช้บริการของเรา
การลงทุนมีความเสี่ยง เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง: การซื้อขายอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมด การซื้อขายอนุพันธ์แบบ OTC อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดพิจารณาเอกสาร PDS, FSG, คำชี้แจงการเปิดเผยความเสี่ยงและข้อตกลงลูกค้าก่อนใช้บริการของเรา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดทราบว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ในสินทรัพย์อ้างอิง