เทรด Bitcoin โบรกไหนดี?

ปัจจุบันมีวิธีการมากมายที่จะให้นักลงทุนทำกำไรได้จาก Bitcoin ทั้งการซื้อ Bitcoin จริง ๆ มาไว้เพื่อใช้จ่าย หรือหากต้องการวิธีการที่สะดวกขึ้นในการสร้างผลกำไรจากการเติบโตและความผันผวนของราคา Bitcoin การเทรด Bitcoin ด้วย CFD กับโบรกเกอร์ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ว่าแต่จะเทรด Bitcoin โบรกไหนดี?

นี่คงเป็นคำถามยอดฮิตของผู้ที่เริ่มสนใจเทรด Bitcoin เพราะโบรกเกอร์มีความสำคัญต่อความปลอดภัยในการลงทุนและการอำนวยความสะดวกที่จะมีให้ การเทรด Bitcoin ผ่านโบรกที่ดีจะช่วยทำให้การเทรดเป็นไปได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่การใช้บริการโบรกเกอร์นั้นง่ายและเร็วกว่าการสมัครบริการซื้อขายเหรียญนั้น ๆ โดยตรง ส่วนจะมีวิธีเลือกโบรกเทรด Bitcoin คู่ใจอย่างไรนั้น เรามีลิสต์มาเป็นไกด์ไลน์ให้แล้ว

การเลือกโบรกเทรด Bitcoin ให้ ‘ใช่’ จะช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น อย่างความเสี่ยงด้านเงินทุนของโบรกเกอร์ ความเสี่ยงจากการถูกโกง หรือต้องแบกรับต้นทุนในการหาข้อมูลข่าวสารด้วยตัวเองมากจนเกินไป เพื่อการนี้ เราได้เตรียมเช็กลิสต์หรือข้อควรคำนึงสำหรับตรวจสุขภาพโบรกที่จะมาเป็นบัดดี้ในการเทรด Bitcoin ไว้ให้แล้วดังนี้

1. มีการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

เพราะไม่ใช่โบรกเทรด Bitcoin ทุกโบรกจะได้รับการรับรองและกำกับดูแลจากทางการ ยังมีเว็บมิจฉาชีพและโบรกเทรด Bitcoin อีกมากมายที่ไม่ได้รับการกำกับดูแลและจะเป็นสาเหตุให้นักลงทุนต้องสูญเงินได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องเลือกโบรกเทรด Bitcoin ที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานโดยเฉพาะ

สังเกตนิดหนึ่งว่าองค์กรที่มีหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินการของโบรกเกอร์ก็มีแตกต่างกันไปตามพื้นที่ ดังนั้นก่อนจะเลือกโบรกไหนก็ควรดูว่าโบรกนั้นได้รับการควบคุมกำกับโดยหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในพื้นที่นั้น ๆ หรือไม่ เช่น ในออสเตรเลีย โบรกเกอร์ที่ได้รับการยอมรับจะต้องได้รับการกำกับดูแลจาก ASIC - Australian Securities and Investments Commission ในหมู่เกาะเคย์แมนจะเป็น CIMA - Cayman Islands Monetary Authority ส่วนในอังกฤษก็จะเป็น FCA - Financial Conduct Authority เป็นต้น

2. มีการตั้งเงินทุนสำรองแยกจากเงินลงทุนของลูกค้า 

โบรกที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานที่ได้มาตรฐานจะต้องกันสินทรัพย์ของนักลงททุนออกจากเงินทุนของบริษัท และดำรงเงินสำรองขั้นต่ำให้เพียงพอตามมาตรฐานเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะล้มละลายของตัวโบรกเกอร์เอง และเพื่อความปลอดภัยของเงินทุนของลูกค้าที่จะไม่ถูกนำเงินลงทุนมาใช้ผิดประเภทจากตัวโบรกเกอร์เอง

3. เรียกเงินฝากตั้งต้นไม่สูงจนเกินไป 

ในการเริ่มต้นเทรดนักลงทุนจะต้องโอนเงินฝากเข้าบัญชีเพื่อทำการซื้อขายที่เรียกว่าเงินฝากตั้งต้น (Initial  Deposit) บางโบรกจะมีการเรียกขั้นต่ำของเงินฝากตั้งต้นในระดับสูงถึงหลักหมื่นเหรียญซึ่งจะเป็นอุปสรรคกับการลงทุนสำหรับผู้เริ่มต้นแน่ ๆ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เปิดบัญชีเสียเปล่าเราจึงจำเป็นต้องศึกษาเงื่อนไขการเรียกเงินฝากตั้งต้นของแต่ละโบรกให้ดี เพราะบางโบรกเกอร์ก็มีการเรียกขั้นต้ำของเงินฝากตั้งต้นเพียง 50 ดอลลาร์ถึง 200 ดอลลาร์เท่านั้น

4. สเปรดและคอมมิสชั่นสมเหตุสมผล 

โบรกเกอร์เทรด Bitcoin ไม่เหมือนกับธุรกิจการเงินอื่น ๆ ที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมเป็นก้อน แต่รายได้ของโบรกเกอร์จะมาจากสเปรดเป็นหลัก สเปรดยิ่งสูง หมายถึงส่วนที่เสียไปจะยิ่งสูง ถ้าคุณเทรดบ่อย เทรดมาก ก็ต้องทำให้มั่นใจว่าจะไม่เสียไปกับค่าสเปรดหมด ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเช็กค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก่อนที่จะเลือกใช้บริการโบรกไหนสักที่ และโบรกแต่ละที่ก็มีการคิดค่าสเปรดไม่เท่ากัน

โบรกเทรด Bitcoin ทั่วไปมีการคิดค่าสเปรดอยู่ 2 แบบ คือ แบบคงที่ (Fixed spread) และแบบลอยตัว (Floating spread) โดยปกติสเปรดแบบคงที่จะสูงกว่าสเปรดแบบลอยตัวโดยเฉี่ย ถ้าเทรดเดอร์ต้องการความแน่นอนคงที่ก็สามารถเลือกโบรกที่คิดสเปรดแบบคงที่ แต่ถ้าต้องการเสียสเปรดน้อยหน่อยก็ควรเลือกโบรกที่คิดสเปรดแบบลอยตัวทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความต้องการของเทรดเดอร์แต่ละคนเอง

แต่ละโบรกจะคิดค่าสเปรดแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการดำเนินงานของแต่ละโบรก ซึ่งโดยทั่วไปมีอยู่ 2 ประเภทคือ Dealing Desk และ Non Dealing Desk

Dealing Desk (DD) หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ Market Maker คือโบรกที่ทำหน้ารับคำสั่งซื้อขายของลูกค้าเข้าสู่ Dealing Desk ของบริษัท และโบรกจะเป็นผู้เข้าจับคู่สถานะคำสั่งซื้อขายของลูกค้าโดยตรง หมายความว่าถ้าลูกค้าเปิดสถานะ Long ในสินค้า BTC/USD โบรกเกอร์จะเป็นฝ่ายเปิดสถานะ Short เพื่อรองรับคำสั่งของลูกค้า

Non-Dealing Desk  (NDD) เป็นโบรกที่ส่งผ่านคำสั่งของลูกค้าไปยังบุคคลที่ 3 หรือพูล (Pool) คำสั่งของสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อให้ไปจับคู่สถานะกันบุคคลที่ 3 ในนั้น รูปแบบการดำเนินงานของโบรกแบบนี้แบ่งแยกย่อยได้อีก 3 แบบคือ ECN ,STP และ ECN+STP โดยสเปรดของโบรกเกอร์แบบ ECN มักจะต่ำที่สุดเนื่องจากวิธีการทำกำไรของโบรกเกอร์แบบ ECN จะเป็นค่าคอมมิชชั่น

ส่วนคำถามที่ว่าแล้วจะเลือกใช้โบรกเกอร์แบบไหนดี ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของเทรดเดอร์แต่ละคน โบรกเกอร์แบบหนึ่งอาจไม่ได้ดีกว่าอีกแบบในทุกเงื่อนไข ขึ้นอยู่กับว่าตัวเทรดเดอร์อยากได้สเปรดน้อยหรือชอบจะจ่ายเป็นก้อนคอมมิสชั่นมากกว่า

Dealing Desk vs. No Dealing Desk

การเลือกโบรกเกอ์รแบบ Dealing Desk มีข้อได้เปรียบสำคัญคือทุกออเดอร์ที่ลูกค้าส่งเข้าสู่ระบบจะได้รับการแมทช์ออเดอร์อย่างแน่นอน แม้แต่ในช่วงที่ตลาดขาดมีสภาพคล่องต่ำ เพราะเราจะมีโบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นผู้จับคู่คำสั่งอยู่เสมอ ซึ่งโดยปกติ ทั้งเดย์เทรดเดอร์(day traders) และสเกาล์เปอร์(scalpers) มักชื่นชอบการแมทช์ออเดอร์ที่ง่ายและรวดเร็ว ที่จะทำให้การเปิดปิดออเดอร์ได้ง่ายและไม่เป็นภาระต้นทุนจากค่าสเปรดที่ต้องเทรดบ่อย ๆ มากนัก การเทรดจึงจะมีกำไรได้ง่าย  ซึ่งเงื่อนไขทั้งหมดเหล่านี้พบได้ในโบรกเกอร์แบบ Dealing Desk ที่มีสเปรดแบบลอยตัว

แต่หากสไตลก์การเทรดของนักลงทุนเป็นแบบถือยาว หรือสวิงเทรด(swing trade) ซึ่งเป็นการเทรดแบบที่ไม่เน้นความสภาพคล่องที่สูงนัก และด้วยการจ่ายสเปรด ค่าคอมมิสชั่นไม่บ่อยนั้น นักลงุทนสไตล์นี้เลือกโบรกเกอร์แบบ DD หรือ NDD ก็มักจะไม่มีผลต่อกำไรที่จะได้มากนัก

5. เลเวอร์เรจเหมาะกับความเสี่ยงที่รับได้ 

เนื่องจากสกุลเงินดิจิตอลเป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่ราคามีความผันผวนสูง โบรกส่วนใหญ่จึงจำกัดสัดส่วนเลเวอร์เรจที่ให้ลูกค้าใช้ในการเทรดสกุลเงินดิจิตอลไม่ให้สูงมากจนเกินไป ดังนั้นควรพิจารณาเลือกโบรกที่ให้บริการเลเวอร์เรจที่เหมาะกับความเสี่ยงที่เรารับได้ และไม่ใช้เลเวอร์เรจที่สูงเกินไป เพราะความผันผวนที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดความเสียหายกับพอร์ตการลงทุนได้

6. มีแพลตฟอร์มการเทรดที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้า 

เนื่องจากแพลตฟอร์มในการเทรดเป็นประตูเชื่อมเทรดเดอร์เข้าสู่ตลาด จึงควรต้องแน่ใจว่าแพลตฟอร์มที่โบรกให้บริการนั้นเชื่อถือได้ บางโบรกมีการพัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมาเองเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง บางโบรกก็ใช้แพลตฟอร์มมาตรฐานที่มีอยู่แล้ว เช่น MetaQuotes แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดอาจไม่ใช้แพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือมากมายครบไปทุกอย่าง แต่เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นจากความต้องการของเทรดเดอร์ ทำให้เกิดความเรียบง่ายสามารถใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อเราได้เช็กลิสต์สำหรับการเลือกโบรกเทรด Bitcoin กันแล้ว ต่อไปเราลองไปดูกันว่ามีโบรกเทรด Bitcoin โบรกไหนที่เข้าตา ควรค่ากับการเปิดบัญชีเทรด Bitcoin กันบ้าง

1 MiTrade  

MiTrade เป็นโบรกเทรด CFD สัญชาติออสเตรเลีย เสนอผลิตภัณฑ์ให้นักลงทุนหลายอย่าง ทั้งค่าเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงสกุลเงินดิจิตอลอย่างการเทรด Bitcoin ได้รับรางวัลการันตีความนิยมมากมาย เช่น รางวัลโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่เติบโตเร็วสุดในออสเตรเลียจากนิตยสาร International Business และ รางวัลแพลตฟอร์มเทรดบนมือถือที่ดีที่สุดจาก Forex Awards ในปี 2019, ส่วนในปี 2020 MiTrade ยังได้รับรางวัลโบรกเกอร์ที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยมจากเว็บไซต์ FxDailyInfo

MiTrade อยู่ภายใต้การควบคุมและกำกับดูและของ Cayman Islands Monetary Authority (CIMA) ด้วยใบอนุญาต SIB เลขที่ 1612446 ทำให้มั่นใจได้ว่าเงินทุนของท่านจะถูกเก็บแยกไว้ในบัญชีประเภททรัสต์อย่างปลอดภัย แยกต่างหากจากเงินทุนของบริษัท บริษัทมีการดำรงเงินทุนสำรองอย่างเพียงพอ และได้รับการตรวจสอบจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ 

ด้านการให้บริการ MiTrade เป็นโบรกเกอร์ที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเปิดบัญชีได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยขั้นตอนเพียงไม่กี่คลิกเมื่อได้รับการยืนยันการเปิดบัญชีจากโบรกเกอร์แล้วก็สามารถโอนเงินฝากเข้าพอร์ตการลงทุนได้ทันทีโดยมีขั้นต่ำของเงินฝากตั้งต้นเพียง 50 ดอลลาร์เท่านั้น

MiTrade ให้บริการในรูปแบบของ Dealing Desk ทำให้ทุกออเดอร์ของลูกค้ามีอัตราการแมทช์เกือบ 100% โดยไม่ต้องกังวลถึงสภาพคล่องในการซื้อขายอีก ไม่มีการเรียกเก็บค่าคอมมิสชั่น ใช้สเปรดแบบลอยตัวและค่าเฉลี่ยของสเปรดสำหรับการเทรด Bitcoin กับ MiTrade ในปัจจุบันอยู่ที่ 48 pips

การเทรด Bitcoin ที่โบรกนี้ใช้เลเวอร์เรจ 1:10 ถึงว่าไม่ต่ำและไม่สูงมากด้วยเมื่อเทียบกับโบรกอื่น สมมุติว่าในการเทรด Bitcoin ขนาด 1 ล็อต ที่เดิมต้องวางเงินทั้งหมด $30, 000 ดอลลาร์ แต่เทรดเดอร์สามารถใช้เงินวางตั้งต้นได้เพียง 1 จาก 10 นั่นคือวางเงินเพียง $3, 000 ต่อขนาด 1 ล็อต และด้วย size ขั้นต่ำที่สามารถซื้อขายได้ที่โบรกนี้คือ 0.01 ล็อต ทำให้เงินฝากแค่ $30 เอง แต่เทรดเดอร์ก็ยังสามารถคงความสามารถในการทำกำไรหรือขาดทุนได้เท่ากับการถือ Bitcoin มูลค่า $30, 000 เลยทีเดียว

ในส่วนของแพลตฟอร์ม MiTrade มีการพัฒนา MiTrade แพลตฟอร์มการเทรดของตัวเอง โดยรวบรวมความต้องการของเทรดเดอร์มากประสบการณ์ออกมาเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพตัวนี้ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้แพลตฟอร์มตัวนี้เป็นมิตรกับผู้ใช้ ทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่ายและไม่ซับซ้อนดังข้อความที่ว่า Trading Simplify 

MiTrade พัฒนาขึ้นตัวนี้ยังมีฟังก์ชั่นที่ทำให้เทรดเดอร์ดูกราฟราคา Bitcoin ได้แบบเรียลไทม์พร้อมเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคพร้อมสรรพ และมีระบบควบคุมความเสี่ยงให้กับเงินทุนในพอร์ตการลงทุนด้วยฟังก์ชั่นการตั้ง stop loss/ trailing stop นอกจากนี้สำหรับลูกค้าที่เพิ่งเริ่มต้นและยังไม่เคยลองใช้ ทาง MiTrade ก็มีบัญชีทดลอง หรือ Demo Account ให้ทดลองใช้ด้วยวงเงิน 50,000 ดอลลาร์ ไปใช้กันฟรี ๆ อีกด้วย นับว่าเป็นโบรกเทรด Bitcoin ที่มีเครื่องมือตอบสนองสำหรับทุกความต้องการของเทรดเดอร์โบรกหนึ่งเลยทีเดียว

2 IC Markets 

IC Markets เป็นอีกโบรกเกอร์สัญชาติออสเตรเลียที่ได้รับใบอนุญาติจากหน่วยงานหลากหลาย เช่น ASIC FSA และ CySec ทำให้เป็นอีกโบรกหนึ่งที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานภายนอกและมีความน่าเชื่อถือ ให้บริการซื้อขายสินค้าหลากหลายรวมทั้งสกุลเงินดิจิตอลอย่าง Bitcoin ด้วย

โบรกเกอร์นี้มีการดำเนินงานแบบ NDD (Non-Dealing Desk) โดยไม่มีค่าคอมมิสชั่น มีการคิดสเปรดสำหรับการเทรด Bitcoin แบบลอยตัว IC Markets ให้บริการบนแพลตฟอร์ม MT4, MT5, Android, iOS, cTrader ทำให้นักลงทุนทำการเทรดได้ทั้งบนเว็บไซต์และมือถือ จึงกลายเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการเทรด Bitcoin ที่ได้รับความนิยมสำหรับนักลงทุนไปทั่วโลก

3 Peperstone 

Pepperstone เป็นโบรกเกอร์ออสเตรเลียที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2010 ได้รับการกำกับดูแลโดย ASIC และ FCA ให้บริการซื้อขายสินค้าหลากหลายชนิดทั้งสกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี รวมถึงสกุลเงินดิจิตอลอย่าง Bitcoin และถือเป็นอีกโบรกหนึ่งที่มีความมั่นคงเพราะได้รับการกำกับดูแลการเงินจากทางการเป็นอย่างดี

ด้านการเปิดบัญชีลูกค้าสามารถเปิดบัญชีผ่านหน้าเว็บไซต์ ให้บริการบนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4 MT5 และ cTrader รันบนหน้าเว็บไซต์และมือถือซึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีฟังก์ชั่นตามมาตรฐานการใช้งานสำหรับเทรดเดอร์ทั่วไป โบรกนี้ใช้การทำเนินงานแบบ NDD (Non-Dealing Desk) ไม่มีค่าคอมมิสชั่น ด้วยสเปรดการเทรด Bitcoin ที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้โบรกเทรด Bitcoin โบรกนี้ค่อนข้างเหมาะสำหรับการเดย์เทรด (Day Trading) หรือสเกาล์ปิ้ง (Scalping)

4 eToro 

eToro เป็นอีกโบรกเกอร์หนึ่งที่เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุน ไม่เฉพาะการเทรด Bitcoin โบรกนี้ได้รับการควบคุมดูแลจากหน่วยงาน FCA ให้บริการสินค้าหลากหลาย ทั้งสกุลเงิน หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ ให้บริการในรูปแบบของ Dealing Desk ที่จะช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับเทรดเดอร์แม้ในช่วงที่ตลาดมีวอลุ่มไม่มาก

eToro ไม่มีการเก็บค่าคอมมิสชั่น แต่มีรายได้จากสเปรดการเทรด โบรกเสนอแพลตฟอร์ม MT4 และ Mobile Apps ให้เทรเดอร์ได้ใช้ทำให้นักลงทุนซื้อขายได้ทั้งในหน้าจอคอมและบนมือถือ และปัจจุบันโบรกเกอร์ eToro ยังไม่มีการแจ้งโปรโมชั่นสำหรับลูกค้า

5 FXTM 

FXTM เป็นโบรกเกอร์ที่เป็นผู้นำด้านการเทรด forex และ CFD และเป็นอีกโบรกเกอร์หนึ่งที่มีการเติบโตสูงในเอเชีย ได้รับใบอนุญาตจาก FCA, CySec, FSCA, FSC of the Republic of Mauritius ดำเนินธุรกิจโบรกเกอร์ทั่วโลก และให้ดำเนินงานแบบ No Dealing Desk (NDD) ไม่มีค่าคอมมิสชั่น และสเปรดต่ำ

โบรกเกอร์แห่งนี้สนับสนุนการเทรดทั้งทางเว็บไซต์และหน้าจอด้วยแพลตฟอร์ม MT4 และ MT5 ที่นักลงทุนน่าจะรู้จักและคุ้นเคยอย่างดี ภาพรวมโบรกนี้ค่อนข้างอำนวยความสะดวกให้กับเทรดเดอร์ค่อนข้างครบ

หลังจากที่เราไปดูข้อควรคำนึงในการเลือกโบรกเทรด Bitcoin มาจนถึงรายชื่อโบรกเทรด Bitcoin ที่น่าสนใจ ก็คงปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วว่าสินค้ายอดนิยมอย่าง Bitcion ในปัจจุบันมีช่องทางในการทำกำไรที่ไม่ได้ยากเท่ากับการต้องไปเปิดบริการซื้อขายเหรียญจริง ๆ อีกแล้ว แต่ข้อมูลและข้อจำกัดของโบรกเกอร์ที่ให้บริการเทรด Bitcion นั้นก็เป็นเรื่องจำเป็นที่เทรดเดอร์จำเป็นต้องหาข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อประโยชน์ในการเทรดเอง จริงอยู่ที่ไม่มีโบรกไหนดีที่สุดสำหรับทุกสถานการณ์และทุกความต้องการของเทรดเดอร์ ดังนั้นการเปรียบเทียบความต้องการของตัวเองและเทียบกับเงื่อนไขของแต่ละโบรกเกอร์จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด และคงไม่จำเป็นต้องปวดหัวกับคำถามที่ว่าต่อจากนี้จะเลือกโบรกเทรด Bitcoin โบรกไหนดี