แม้ว่าพลังงานสะอาดและการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะกลายเป็นกระแสที่แรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างน้ำมันดิบก็ยังคงเป็นแหล่งพลังงานอันดับต้น ๆ ของโลกด้วยความต้องการใช้กว่าหนึ่งร้อยล้านบาร์เรลต่อวัน ถูกนำไปใช้ทั้งในภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง และในครัวเรือน
ด้วยความสำคัญของสินค้านี้บวกกับการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าในปริมาณสูงก็ทำให้น้ำมันดิบกลายมาเป็นสินค้าที่นักลงทุนหรือแม้แต่นักเก็งกำไรให้ความสนใจอยู่เสมอ จนกลายเป็นสินค้าหลักที่มีการซื้อขายในตลาดฟิวเจอส์เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับทองคำ แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มสนใจและสงสัยว่าจะเริ่มเทรดน้ำมันดิบอย่างไร? บทความนี้จะพาเราไปตอบคำถามนั้น และไปสำรวจด้วยว่ายังมีอะไรที่ควรต้องรู้ในการเทรดน้ำมันดิบบ้าง มีปัจจัยอะไรที่ต้องนำมาประกอบการตัดสินใจ และมีเครื่องมืออะไรที่จะนำมาช่วยทำกำไรให้กับเราได้
สินค้าในตลาดการเงินมีมากมาย แต่สินค้าที่มีความสำคัญทั้งในตลาดการเงินและในธุรกิจจริงนั้นมีอยู่ไม่กี่อย่าง ในจำนวนนั้นน้ำมันดิบคงเป็นสินค้าลำดับต้น ๆ ที่คนจะคิดถึง เพราะนอกจากจะเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายต่อวันเป็นจำนวนมากแล้ว น้ำมันดิบยังมีผลต่อดุลอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองและเป็นสินค้าที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมทั่วโลก กล่าวคือ
● น้ำมันเป็นสินค้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของโลก แหล่งที่มาของพลังงานในโลกนี้กว่า 35% ยังคงมาจากน้ำมันดิบ ซึ่งพลังงานนี้จะใช้เป็นแหล่งพลังงานหลักทั้งในอุตสาหกรรมและภาคการขนส่ง ทั้งยังเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่นำไปใช้ผลิตสินค้าอย่างพลาสติก เส้นใยสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ ฯลฯ ในวันหนึ่ง ๆ ทั่วโลกมีความต้องการใช้น้ำมันดิบถึงกว่าหนึ่งร้อยล้านบาร์เรล หรือปีหนึ่งกว่าสามหมื่นหกพันล้านบาร์เรลทีเดียว ขณะที่การผลิตน้ำมันนั้นเป็นไปได้อย่างจำกัด
● น้ำมันมีการผลิตได้อย่างจำกัด ผลิตได้เฉพาะบางพื้นที่ที่เป็นแหล่งน้ำมันเท่านั้น ทั้งยังเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้หมดไป ด้วยความที่น้ำมันเป็นสินค้าที่หามาได้ยากมีผู้ขายน้อยรายและเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไปเช่นนี้ ทำให้มีการซื้อขายได้ที่ราคาสูงกว่าต้นทุนการผลิตหลายเท่า ซึ่งแน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับปริมาณความต้องการใช้ (Demand) และความขาดแคลนของสินค้าด้วย
ด้วยความสำคัญด้านเศรษฐกิจการเมืองและอุตสาหกรรม บวกกับความหามาได้ยากทำให้น้ำมันดิบเป็นสินค้าที่มีความต้องการใช้และมีปริมาณการซื้อขายต่อวันสูง และด้วยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความผันผวน ก็กลายมาเป็นเงื่อนไขให้น้ำมันเป็นสินค้าที่มีสภาพคล่องและส่วนต่างในการทำกำไรสูงเหมาะสำหรับการหาโอกาสเข้าเก็งกำไร
เพราะการขุดหาน้ำมันดิบมีหลายขั้นตอน การซื้อขายน้ำมันดิบจึงไม่ใช่การส่งมอบสินค้ากันในทันทีแต่เป็นการซื้อขายผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่จะเป็นตัวกำหนดราคาในการซื้อขาย การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบมีตลาดใหญ่ ๆ ที่เป็นตลาดอ้างอิงราคาทั่วโลกอยู่ 2 ตลาด คือ ราคานำมันดิบ WTI และ ราคาน้ำมันดิบ Brent
● ราคาน้ำมันดิบ WTI - West Texas Intermediate เป็นราคาน้ำมันดิบที่ซื้อขายอ้างอิงในสหรัฐอเมริกา มีการซื้่อขายในตลาด NYMEX มักมีราคาซื้อขายต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์เนื่องจากทำเลการขนส่งไปยังแหล่งอื่น ๆ ในโลกไกลกว่า
● ราคาน้ำมันดิบ Brent เป็นราคาน้ำมันดิบซื้อขายในตลาด ICE Europe ในลอนดอน ตลาดนี้มักจะเป็นตลาดที่ใช้อ้างอิงราคาน้ำมันในยุโรปและเอเชีย และด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่ทำให้ขนส่งได้ใกล้กว่า WTI น้ำมันดิบในตลาดนี้จึงมักซื้อขายกันด้วย premium สูงกว่าและมีความผันผวนสูงกว่าราคาน้ำมันดิบ WTI
ราคาของสินค้าเกือบทุกชนิดถูกกำหนดขึ้นจากความต้องการซื้อ (Demand) และความต้องการขาย (Supply) ราคาของสินค้าอย่างน้ำมันดิบก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่ด้วยความที่เป็นสินค้าสำคัญที่ผลิตได้อย่างจำกัดในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อ่อนไหวต่อการเมืองการปกครองอย่างตะวันออกกลาง ทำให้ราคาของสินค้านี้ยังถูกกำหนดด้วยปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์อีกด้วย
● Supply ในโลกมีแหล่งน้ำมันดิบใหญ่ ๆ อยู่ไม่มากแต่ก็กระจายอยู่ทั่วโลก ทำให้ผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่มีกระจายไปในหลายพื้นที่ เช่น อเมริกา ซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย ปัจจุบันผู้ส่งออกน้ำมันดิบอันดับหนึ่งของโลกกลายมาเป็นสหรัฐอเมริกาที่ผลิตได้กว่าวันละ 18 ล้านบาร์เรล ตามมาด้วยซาอุดิอาระเบียที่ผลิตได้กว่า 13 ล้านบาร์เรลต่อวัน และรัสเซียที่ผลิตได้ราว 11 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในความเป็นจริงกำลังผลิตของประเทศเหล่านี้ยังคงมีมากว่านี้ แต่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันมักมีการแทรกแซงราคาด้วยการลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบไว้ให้อยู่ในระดับสูง การประชุมและประกาศเปลี่ยนแปลงกำลังการผลิตของประเทศเหล่านี้จึงเป็นปัจจัยแรก ๆ ที่มีผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอย่างสำคัญ
● Demand ความต้องการใช้น้ำมันมักขึ้นอยู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก เมื่อเศรษฐกิจโลกขยายตัวนั่นหมายถึงการผลิตที่สูงขึ้น การใช้พลังงานมากขึ้น การเดินทาง/ขนส่งที่มากขึ้น และการใช้วัตถุดิบปิโตรเคมีสูงขึ้น ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันสูงขึ้น ซึ่งหากกำลังการผลิตน้ำมันยังคงเดิมก็มีแนวโน้มที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น แต่หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหรือนักลงทุนคาดว่าจะชะลอตัว นั่นหมายถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ จะลดลง ความต้องการใช้น้ำมันดิบลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงในที่สุด
● Geopolitics ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศตะวันออกกลางมักมีผลให้เกิดหยุดผลิตน้ำมันหรือไม่สามารถขนส่งน้ำมันได้ ทำให้ Supply ในตลาดลดลง เป็นผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ความไม่สงบในตะวันออกกลางแต่ละครั้งจึงเป็นอีกสิ่งที่นักลงทุนในตลาดน้ำมันจำเป็นต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
การทำความเข้าใจปัจจัยที่จะกระทบต่อราคาน้ำมันจะทำให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันตามปัจจัยที่มากระทบได้แม่นยำขึ้น
ด้วยความแตกต่างและลักษณะเฉพาะตัวของสินค้าอย่างน้ำมันดิบอย่างที่กล่าวไปแล้วทำให้น้ำมันดิบมีคุณสมบัติที่แตกต่างกับสินค้าอื่น ๆ อย่างหุ้นหรือพันธบัตรที่เรารู้จัก และคุณสมบัติเหล่านั้นก็ทำให้น้ำมันดิบกลายเป็นสินค้าที่นักลงทุนสามารถมีติดพอร์ตการลงทุนไว้เพื่อประโยชน์หลายอย่างได้ เช่น
● เพื่อเก็งกำไรระยะสั้น ด้วยคุณสมบัติเฉพาะที่มีความผันผวนและสภาพคล่องสูง ซึ่งหมายความว่าในแต่ละวันราคาจะมีการเหวี่ยงหรือปรับเปลี่ยนในช่วงกว้าง ทำให้หากนักลงทุนจับจังหวะได้ดีก็สามารถหาโอกาสเข้าทำกำไรจากส่วนต่างของราคาได้แม้ในระยะสั้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องขนาดของออเดอร์ที่เข้าทำรายการซื้อขายเพราะตลาดน้ำมันดิบมีปริมาณการซื้อขายต่อวันสูงมาก นั่นหมายความว่านักลงทุนสามารถเข้าซื้อขายได้โดยจับคู่สัญญาได้แทบจะในทันทีทำให้ไม่พลาดโอกาสที่จะได้ราคาดี ๆ ไป ทั้งยังเป็นตลาดที่เปิดซื้อขายแทบจะ 24 ชั่วโมงต่อวันตลอด 5 วันทำการ เมื่อบวกรวมเงื่อนไขทั้งสามข้อเข้าด้วยกันแล้วก็ทำให้ตลาดน้ำมันดิบกลายมาเป็นตลาดอันดับแรก ๆ ที่มีปัจจัยเอื้อให้กับนักเก็งกำไรมากที่สุดเลยก็ว่าได้
● เพื่อกระจายพอร์ตการลงทุน น้ำมันดิบเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดหนึ่งซึ่งราคาเปลี่ยนแปลงไปตามรอบวัฏจักรทางเศรษฐกิจ ในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟูราคาน้ำมันดิบสามารถปรับตัวขึ้นสูงได้เป็นเท่าตัว ขณะที่เมื่อถึงวงจรเศรษฐกิจซบเซาราคาน้ำมันดิบก็สามารถปรับตัวลงได้รวดเร็วและรุนแรง หากนักลงทุนจับจังหวะรอบเศรษฐกิจได้ถูก การกระจายพอร์ตไปถือสัญญาน้ำมันดิบแทนที่พันธบัตรในช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้นจะเป็นการกระจายพอร์ตที่เพิ่มโอกาสทำกำไรให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้
● เพื่อชดเชยความเสี่ยงของเงินเฟ้อ น้ำมันดิบมีธรรมชาติเป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ จึงเป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งนอกเหนือไปจากหุ้น อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ ที่นักลงทุนสามารถใช้ชดเชยความเสี่ยงของเงินเฟ้อ (infaltion hedging) ให้กับพอร์ตการลงทุนได้
การซื้อขายน้ำมันดิบในตลาด WTI และ Brent มักทำกันเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า การซื้อขายสัญญาประเภทนี้จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากและมีความเสี่ยงหากนักลงทุนถือสัญญาจนถึงวันสิ้นสุดสัญญาก็จำเป็นต้องมีการส่งมอบสินค้ากันจริง ๆ จึงมักไม่เป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนทั่วไปนัก เครื่องมือทางการเงินที่เป็นที่นิยมใช้เทรดน้ำมันดิบในปัจจุบันอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนมากกว่านั้น
สัญญาซื้อขายส่วนต่าง หรือ CFD – Contract for Difference คือเครื่องมือทางการเงินอีกประเภทหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อขายสินค้าได้ตามต้องการด้วยเงินลงทุนน้อยในแบบที่นักลงทุนรายย่อยก็สามารถลงทุนได้ ทำให้วิธีซื้อขายนี้เป็นที่นิยมอย่างมากของนักลงทุนทั่วโลก และสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องคำนึงถึงก่อนตัดสินใจลงทุนซื้อขายก็คือความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของโบรคเกอร์ผู้ให้บริการ
MiTrade เป็นโบรคเกอร์มากประสบการณ์สัญชาติออสเตรเลียที่ได้รับความเชื่อถือจากลูกค้าและนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเป็นโบรคที่ได้รับอนุญาตจากกรรมการหลักทรัพย์และการลงทุนของออสเตรเลีย (ASIC) และถือใบอนุญาตให้บริการทางการเงิน (AFSL 398528) ซึ่งทำให้ MiTrade ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ASIC และจำเป็นต้องเก็บรักษาเงินฝากของลูกค้าให้ปลอดภัยและมีการตรวจสอบจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอ นักลงทุนสามารถเทรดน้ำมันดิบกับ MiTrade ได้ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ โดยเริ่มต้นจาก
1)เปิดบัญชีกับ MiTrade ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่กี่นาที และสิ่งที่ต้องเตรียมก็มีแค่มือถือและบัตรประชาชนเท่านั้น นักลงทุนยังสามารถเลือกได้ด้วยว่าจะลงทะเบียนเปิดบัญชีกับ MiTrade ผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น เมื่อได้รับการยืนยันการเปิดบัญชีนักลงทุนก็สามารถโอนเงินเข้ามาเพื่อเริ่มทำการซื้อขายได้ทันที และสำหรับนักลงทุนที่เปิดบัญชีและเริ่มเทรดตอนนี้ MiTrade มี 50 ดอลลาร์เป็นโบนัสให้อีกด้วย! แต่ถ้าอยากลองเทรดแบบไม่ต้องวางเงินจริง ทาง MiTrade ก็มีบัญชีทดลอง หรือ บัญชี Demo ให้ทดลองใช้ด้วยวงเงิน 50,000 ดอลลาร์ ให้ทดลองระบบหรือซ้อมมือก่อนเปิดบัญชีจริงด้วยเหมือนกัน
2)หาโอกาสเข้าทำกำไร เลือกสินค้าที่เป็นเป้าหมายในการเทรด สำหรับสินค้าอย่างน้ำมันดิบนักลงทุนจะต้องเลือกระหว่าง WTI หรือ Brent และจับจังหวะเข้าทำรายการ หากยังไม่มีไอเดียในการลงทุน MiTrade มีข้อมูลข่าวสารหลากหลายเตรียมไว้ให้กับนักลงทุนเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ
3)เปิดสถานะ เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะใช้สินค้าตัวไหน และวางแผนไว้แล้วว่าจะทำกำไรอย่างไร นักลงทุนก็ต้องมาเปิดสถานะเพื่อทำรายการซื้อขาย โดย การเปิดสถานะ Long เมื่อคาดว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นไปอีก หรือเปิดสถานะ Short หากคิดว่าราคาจะปรับตัวลง และเลือกขนาดและราคาที่จะทำการเปิดสถานะ
ตัวอย่างการคำนวณ lot size และ margin น้ำมันดิบ WTI จากข้อมูลการเปิดสัญญา WTI ของ MiTrade ที่ราคา WTI ปัจจุบัน 40.17 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะพบว่าขนาดสัญญาน้อยที่สุดที่นักลงทุนเปิดได้คือ 0.01 lot ขณะที่ 1 lot size = 1,000 บาร์เรล นั่นหมายความว่ามูลค่าสัญญาขั้นต่ำสุดที่เปิดได้คือ 401.7 ดอลลาร์ แต่ด้วยการใช้มาร์จิ้น 1:100 ทำให้นักลงทุนวางเงินแค่ 1 ต่อมูลค่าสัญญา 100 ดังนั้นเงินที่นักลงทุนจะใช้วาง (margin) เมื่อเปิดสัญญาจะเท่ากับ 4.17 ดอลลาร์ต่อ 0.01 ล็อตเท่านั้น
สูตรการคำนวณ Margin = (Current Price x 1,000 x Lot Size) / Leverage
4)เฝ้ารอและปิดสถานะ เมื่อเปิดสถานะสัญญาแล้วนักลงทุนยังต้องติดตามการเคลื่อนไหวของราคา WTI และรอปิดสัญญาเพื่อทำกำไรหรือตัดขาดทุน ด้วยฟังก์ชั่นที่อำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน ทำให้นักลงทุนสามารถตั้งราคารอปิดสัญญาหรือปรับเปลี่ยนราคาได้ตลอดเวลา
น้ำมันดิบเป็นสินค้าที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจโลกมีราคาที่ผันผวนและปริมาณซื้อขายต่อวันจำนวนมาก เป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรได้ง่าย เมื่อบวกกับความได้เปรียบของเครื่องมือย่าง CFD ก็ทำให้การซื้อขายน้ำมันดิบกลายเป็นโอกาสทั้งในการเก็งกำไร เป็นเครื่องมือในการกระจายพอร์ตและการประกันความเสี่ยง ซึ่งคงเป็นที่น่าเสียดายหากนักลงทุนจะมองข้ามเครื่องมือตัวนี้ไป
จนถึงตรงนี้เราก็ปูพื้นกันไปแล้วว่าเราจะเทรดน้ำมันดิบอย่างไร แต่การอ่านและเรียนทฤษฎีอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอแน่ สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มลงทุนจึงควรรีบลงมือสะสมประสบการณ์ ทดลองทำซ้ำด้วยเงินจำนวนน้อย ๆ ในตอนแรก และเริ่มเพิ่มพอร์ตการลงทุนเมื่อมั่นใจขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมือใหม่เทรดน้ำมันได้อย่างมืออาชีพในเวลาอันสั้นได้อย่างแน่นอน
เนื้อหาของบทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความ ไม่สามารถใช้เป็นคำแนะนำการลงทุนได้ เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับการอ้างอิงเท่านั้นและผู้อ่านไม่ควรใช้บทความนี้เป็นพื้นฐานการลงทุนใด ๆ Mitrade ไม่รับผิดชอบต่อผลลัพธ์ใด ๆ ตามบทความนี้และไม่รับประกันความถูกต้องของเนื้อหาของบทความนี้
คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยง: การซื้อขายอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมด การซื้อขายอนุพันธ์แบบ OTC อาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โปรดพิจารณาเอกสาร PDS, FSG, คำชี้แจงการเปิดเผยความเสี่ยงและข้อตกลงลูกค้าก่อนใช้บริการของเรา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โปรดทราบว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์ใด ๆ ในสินทรัพย์อ้างอิง